ข่าวร้ายยังถล่มใส่ตลาดหุ้นอย่างไม่หยุดหย่อน โดยช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐได้ร่วมผสมโรงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน โดยโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านจนย่อยยับ สร้างความวิตกกังวลให้นักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก
ตลาดหุ้นไทยเปิดรับสัปดาห์ใหม่ เมื่อวันจันทร์ดิ่งลงไปต่อ และกำลังถอยร่นไปแตะ 1000 จุด สร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 5 ปี นับจากวิกฤตโควิด
ทิศทางตลาดหุ้นระยะสั้นกำลังถูกขนาบ ทั้งปัจจัยลบภายนอก และปัจจัยร้ายภายในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุในปลายสัปดาห์นี้
เพราะกลุ่มต่อต้านรัฐบาล นัดหมายชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ เพื่อกดดันให้ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีลาออก หลังจากคลิปการสนทนากับนายฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาถูกตีแผ่
มวลชนทั่วประเทศกำลังรุกฮือ ขับ ๆ ไล่รัฐบาล เพราะมองว่า ถ้ารัฐบาลนางสาวแพทองธารยังอยู่ ประเทศจะเสื่อมถอยหนักขึ้นในทุกด้าน โดยไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
แต่นางสาวแพทองธารยังไม่แสดงท่าทีที่จะลาออก ประกาศตัวว่าจะอยู่ต่อ แม้จะถูกดดันรอบด้านก็ตาม การเผชิญหน้ากับม็อบที่เคลื่อนพลขับไล่ เป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น
การชุมนุมอาจยืดเยื้อ การเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ อาจขยายเวลาออกไป และกลายเป็นอีกปัจจัยที่ครอบงำตลาดหุ้น
สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน โดยมีสหรัฐเข้ามาเติมเชื้อไฟ เป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นระยะสั้น ขณะที่การขับไล่นางสาวแพทองธาร ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน โดยทั้งสองปัจจัย ทำให้ตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะเงียบเหงา ดัชนี ฯ หุ้นไร้ทิศทางในความเคลื่อนไหว และมีแนวโน้มซึมลงมากกว่าดีดตัวขึ้น
นักลงทุนได้แต่เฝ้ารอคอยติดตามสถานการณ์เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นรอคอยที่ไร้ความหวัง เพราะแม้สงครามอิสราเอลกับอิหร่านจะคลี่คลาย แม้นางสาวแพทองธารจะยอมลาออก
แต่รากเง่าของปัจจัยที่บั่นทอนตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้หมดไป เพราะสงครามการค้า การขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงอยู่ ปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ยังไม่มีสัญญาณว่า จะได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะมีรัฐบาลใหม่ก็ตาม
ความตกต่ำของตลาดหุ้นรอบนี้ มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อยาวนาน ไม่เฉพาะแค่ช่วงครึ่งปีหลังเท่านั้น แต่อาจกินเวลาไปถึงปีหน้า และจุดต่ำสุดของดัชนี ฯ อาจไม่หยุดอยู่ที่ระดับ 1000 จุดก็ได้
แต่นักลงทุนรายย่อยจำนวนกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งถือหุ้นต้นทุนสูง และขาดทุนกันถ้วนหน้า อาจสายเกินไปที่คิดจะตัดขาดทุน ขายหุ้นทิ้ง เพราะทนแบกรับตัวเลขขาดทุนไม่ไหว จึงทนถือหุ้นกันต่อ แม้จะประเมินได้ว่า แนวโน้มหุ้นจะไหลลงอีกก็ตาม
ตลาดหุ้นไทย ครองความเป็นตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก ย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว นักลงทุนกลุ่มที่เสียหายมากที่สุดคือรายย่อย ซึ่งช้อนซื้อหุ้นเก็บมาตลอด เงินออมก้อนสุดท้ายส่วนใหญ่ จมหายไปในตลาดหุ้น
โอกาสหุ้นฟื้น ในระยะสั้นไม่มีสัญญาณบ่งชี้ นักลงทุนได้แต่ตั้งความหวัง สักวันหุ้นจะดีดตัวกลับ
แต่เมื่อไหร่ละ หุ้นจึงหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของความตกต่ำย่ำแย่ที่กินเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ นับจากวิกฤตราชาเงินทุนเมื่อ 46 ปีก่อน