เมื่อรัฐบาลไร้เสถียรภาพ จากคลิปนายก หุ้นไทยมีแต่ความเสี่ยง นักลงทุนและต่างชาติไม่เชื่อมั่น สร้างแรงเทขายไม่เลิก ชี้หากเกิดการปะทะยิ่งดิ่ง หากเกิดรัฐประหารยิ่งทรุดหนัก คาดยุบสภากระทบแค่ระยะสั้น เชื่อจะฟื้นตัวหลังเลือกตั้ง ประเมินกลุ่มรับเหมา ควงหุ้น Blue Ship ผันผวนหนัก ตามมาด้วย บจ.ที่มีการลงทุนในกัมพูชา
3 วันทำการซื้อขายล่าสุด ตลาดหุ้นไทยกลับไปหลุด 1,100 จุด โดยปิดทำการ ณ วันที่ 20 มิ.ย.2568 ที่ระดับ 1,067.63 จุด ลดลง 45.95 จุด ลดลง 4.30% เหตุผลสำคัญหนีไม่พ้นจากคลิปเสียงสนทนาของนายกรัฐมนตรีไทยกับอดีตผู้นำประเทศกัมพูชาต่อสถานการณ์ชายแดนที่ครุกรุ่น ซึ่งสร้างความผิดหวังให้แก่ประชาชน และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จนเกิดแรงเทขายขนาดใหญ่ เพราะเริ่มไม่เชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาล
นั่นเพราะจากกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ได้ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญซึ่งมีคะแนนเสียงเป็นอันดับ2ในรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย”ประกาศถอนตัว นำไปสู่ความกังวลต่อท่าทีของกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้างจนเป็นแรงกดดันหลักต่อตลาดหุ้น
เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยิอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นในสถานการณ์ปัจจุบัน จนทำให้ดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,100 จุด
สิ่งที่น่าจับตาเพิ่มเติมนั่นคือ การที่พรรคร่วมรับบาลที่สำคัญอย่าง “ภูมิใจไทย” ประกาศถอนตัว ยิ่งทำให้ความมั่นคงของรัฐบาลลดทอนลงอย่างหนักจากจำนวน ส.ส.ที่เหลืออยู่ในภาวะ เสียงปริ่มน้ำหรือมีความเปราะบางอย่างมากในการบริหารและผ่านกฎหมายต่างๆ
การเมืองไม่นิ่งSetสั่นคลอน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง โดยเฉพาะหากมีโอกาสในการยุบสภา หรือเกิดการเปลี่ยนรัฐบาล รวมไปถึงการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนสูง และนักลงทุนไม่ชอบความไม่แน่นอน เพราะทำให้คาดการณ์นโยบายเศรษฐกิจในอนาคตได้ยาก
นั่นเพราะหากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ ๆ เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำได้ล่าช้าหรือไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมถึงการพิจารณางบประมาณประจำปีที่ล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาครัฐและเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อลดความเสี่ยงและย้ายเงินลงทุนไปยังตลาดที่มีเสถียรภาพกว่า
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดชะลอการลงทุน ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศในการลงทุนใหม่ๆ ออกไป เพื่อรอดูความชัดเจนทางการเมือง ทำให้เม็ดเงินลงทุนในตลาดลดลง และทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่อ่อนไหวต่อปัจจัยมหภาค และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาครัฐรวมถึงทำให้ ดัชนี SET Index มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง หรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ อย่างไม่มีทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าจะมีสัญญาณเชิงบวกทางการเมือง
“นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะรอดูสถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเพิ่ม การชะลอการลงทุนใหม่ๆ จะส่งผลกระทบต่อการสร้างงาน การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เช่นเดียวกับ นักลงทุนต่างชาติอาจดึงเงินลงทุนออกจากประเทศไทย หากมองว่าความเสี่ยงทางการเมืองสูงเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง และอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน”
สิ่งที่น่ากังวลเพิ่มขึ้น นั่นคือความต่อเนื่องของนโยบาย เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือยุบสภา นโยบายที่กำลังดำเนินอยู่หรือที่วางแผนไว้ อาจถูกยกเลิก ทบทวน หรือล่าช้าออกไป ทำให้ขาดความต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพิงนโยบายภาครัฐ รวมไปถึงการบริโภคภาคครัวเรือน เมื่อประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในอนาคต ทำให้ชะลอการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะการซื้อสินค้าคงทนหรือการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว และยิ่งทำให้ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบตามไปด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวบางส่วนเลี่ยงการเดินทาง หรือลดระยะเวลาพำนัก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น "วิกฤตความเชื่อมั่น" ที่เกิดจากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
กลุ่มหุ้นเสี่ยงผันผวน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับลงแรงอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (Construction) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่พึ่งพิงโครงการลงทุนภาครัฐสูงมาก หากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำหรือไม่มั่นคง การพิจารณาและผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะล่าช้าหรือหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้และกำไรของบริษัทในกลุ่มนี้ เช่น CK, STEC, ITD, UNIQ
กลุ่มถัดมาคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Property) เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนโดยรวม ทำให้กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลง และการตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดฯ อาจถูกชะลอออกไป นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวจะกระทบต่อรายได้ครัวเรือนและกำลังซื้อ ซึ่งหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือ LH, SPALI, PSH, SC, AP, SIRI และ SCC เพราะมีการลงทุนในกัมพูชามานานภายใต้แบรนด์ "K Cement" และครองส่วนแบ่งตลาด หากเกิดความไม่สงบ การผลิตและการจำหน่ายจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
และถัดมา กลุ่มธนาคาร (Banking) นั่นเพราะ ธนาคารเป็นตัวสะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจโดยรวม หากเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้เสีย (NPL) จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และความต้องการสินเชื่อลดลง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งกระทบต่อสินเชื่อภาคธุรกิจ เช่น KBANK, SCB, BBL, KTB, BAY
รวมถึง กลุ่มค้าปลีก (Retail) เพราะหากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและการเมืองเพิ่มขึ้น ประชาชนจะระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย การบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวจะกระทบยอดขายและกำไรของธุรกิจค้าปลีกโดยตรง เช่น CPALL, HMPRO, CRC, CPN, BJC
อีกทั้งเพราะบริษัทเหล่านี้มีการลงทุนขยายสาขาในกัมพูชา หากสถานการณ์แย่ลง อาจกระทบต่อยอดขายและแผนการลงทุนในตลาดนั้นๆ รวมถึง MAJOR (เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์) มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา หากเกิดความวุ่นวายอาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา ตลอดจน OR (ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก) มีปั๊มน้ำมันและ Cafe Amazon จำนวนมากในกัมพูชา หากความสัมพันธ์แย่ลง อาจกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและกาแฟในกัมพูชา รวมถึงกลุ่มอาหาร (CPF, TFG, GFPT) เพราะบริษัทเหล่านี้มีธุรกิจในกัมพูชา ทั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ หรือการส่งออกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ หากสถานการณ์เลวร้าย อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ยังรวมไปถึงกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (Tourism & Hotel) เนื่องจากแม้จะมีการฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ความไม่สงบทางการเมืองหรือข่าวสารเชิงลบ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่กำลังตัดสินใจเดินทางมาไทย นอกจากนี้ หากนักท่องเที่ยวลดลง หรือมีการเตือนภัยการเดินทาง ก็จะกระทบต่อรายได้ของธุรกิจโรงแรมและสายการบินโดยตรง เช่น AOT, MINT, CENTEL, ERW, AAV, BA และ SAV (สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์) ผู้ให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศเพียงรายเดียวในกัมพูชา หากเกิดการสู้รบหรือความวุ่นวาย การเดินทางทางอากาศจะหยุดชะงัก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของ SAV
Blue Chip ผันผวนไม่น้อยหน้า
นอกจากนี้ หุ้นที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนทางการเมือง ยังสามารถแบ่งเป็นประเภทอื่นๆที่น่าสนใจ ดังนี้ 1.หุ้นขนาดใหญ่ หรือหุ้น Blue Chip เนื่องจากเป็นหุ้นที่มี Market Cap สูง และนักลงทุนต่างชาติถืออยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดความกังวล นักลงทุนต่างชาติมักจะเลือกขายหุ้นกลุ่มนี้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในภาพรวม
ทั้งนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลโดยตรง เช่น หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล หากนโยบายเหล่านี้ล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น หุ้นกลุ่มนี้ก็จะได้รับผลกระทบ ถัดมาคือ หุ้น Defensive หรือหุ้นหลุมหลบภัย โดยในช่วงที่ตลาดผันผวนและมีความไม่แน่นอนทางการเมือง นักลงทุนอาจย้ายเงินไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive ซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่าและมีกระแสรายได้สม่ำเสมอ เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า (แม้ว่านโยบายพลังงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตา) หรือกลุ่มโรงพยาบาล
รวมถึง หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เนื่องจากหุ้นบางตัวอาจมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น ผลประกอบการที่โดดเด่น หรือการเติบโตจากธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งอาจช่วยพยุงราคาได้ในระดับหนึ่ง แม้ตลาดโดยรวมจะได้รับผลกระทบก็ตาม
ส่วนความตึงเครียดบริเวณชายแดนและการตอบโต้ ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมาหลายฝ่ายคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยแน่นอน แม้ว่าผลกระทบโดยตรงอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลโดยตรง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เริ่มตั้งแต่ Sentiment เชิงลบ จากความตึงเครียดระหว่างประเทศสร้างบรรยากาศเชิงลบให้กับตลาดโดยรวม เพิ่มความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น และอาจตัดสินใจเทขายหุ้นออกไปเพื่อลดความเสี่ยง
กัมพูชากดดันหุ้นรายตัว
ต่อมาคือ ความผันผวนของหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีการค้า การลงทุน หรือการพึ่งพิงตลาดกัมพูชาสูง จะได้รับผลกระทบโดยตรงและอาจเห็นราคาผันผวนหรือปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากหากมีการปิดด่านชายแดนถาวร หรือมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่รุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งแม้จะไม่ใช่สัดส่วนใหญ่ของ GDP ประเทศทั้งหมด แต่ก็เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม
โดย กลุ่มหุ้นและหุ้นรายตัวที่อาจได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม (Beverage) นำโดย CBG (คาราบาวกรุ๊ป) เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากกัมพูชาสูงถึงประมาณ 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหมด และประมาณ 21% ของรายได้รวมของบริษัท หากมีการแบนสินค้าหรือการค้าหยุดชะงัก จะส่งผลกระทบต่อกำไรอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ CBG ยังมีแผนลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาด้วย ขณะที่ OSP (โอสถสภา) คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า CBG มาก เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาเพียง 1-2% ของยอดขายรวม
ถัดมา กลุ่มค้าชายแดน/ขนส่ง (Border Trade/Logistics) ได้แก่บริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจ หรือมีรายได้จากการค้าชายแดนกับกัมพูชาโดยตรง อาจได้รับผลกระทบจากการปิดด่าน หรือความล่าช้าในการขนส่งสินค้า ซึ่งจะกระทบต่อรายได้
อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนกับกัมพูชาแม้จะมีมูลค่าสูง แต่เมื่อเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น อาจมีผลกระทบต่อหุ้นรายตัวมากกว่าภาพรวม เริ่มที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (Construction)แม้ผลกระทบโดยตรงจากประเด็นกัมพูชาจะไม่ชัดเจนเท่าปัจจัยการเมืองภายในประเทศ แต่หากความสัมพันธ์ตึงเครียดและส่งผลต่อการจ้างแรงงานข้ามแดน หรือการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ อาจมีผลกระทบทางอ้อมได้บ้าง
อีกกลุ่มที่ต้องจับตาคือ กลุ่มโรงพยาบาล (Healthcare) นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่าผลกระทบอาจมีจำกัด เนื่องจากคนไข้กัมพูชาส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการในไทยมักเป็นแรงงานในไทย หรือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่ยังจำเป็นต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาล อย่างไรก็ตาม หากเกิดความตึงเครียดมาก อาจส่งผลต่อการเดินทางข้ามแดนและสร้าง Sentiment เชิงลบต่อโรงพยาบาลบางแห่งที่อยู่ใกล้ชายแดน (เช่น BCH ที่มีโรงพยาบาลในอรัญประเทศ)
หากปะทะยิ่งฉุดหุ้นดิ่ง
ทั้งนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา หากทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นการปะทะหรือสู้รบ จะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างมหาศาล และหนักหน่วงกว่าสถานการณ์ปกติมาก เพราะไม่ใช่แค่เรื่องความเชื่อมั่น แต่จะกระทบต่อการค้า การลงทุน และความมั่นคงโดยตรง
สิ่งที่เกิดขึ้น นำไปสู่ความเชื่อมั่นดิ่งเหว นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นออกมามหาศาล (Panic Selling) รวมไปถึงเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างรวดเร็ว เพื่อไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า (Flight to Safety) นั่นทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ารุนแรง
ไม่เพียงเท่านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากถึงขั้นสู้รบกันเต็มรูปแบบ สถานการณ์เช่นนี้จะถือเป็น "วิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด" ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยคาดว่า ดัชนี SET Index มีโอกาสดิ่งลงอย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์ (อาจถึงขั้น Circuit Breaker หลายครั้ง) และมีผลให้ตลาด อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนรุนแรง เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว เงินทุนไหลออกมหาศาล
นำไปสู่การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว หยุดชะงัก การบริโภคภายในประเทศลดลงอย่างมาก ภาคการผลิตอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงงาน วัตถุดิบ และการขนส่ง ทำให้รัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพ ทำให้คาดว่าไม่มีกลุ่มหุ้นใดปลอดภัยจากสถานการณ์เช่นนี้ หุ้นทุกกลุ่มมีแนวโน้มได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างหนักนักลงทุนเข้าสู่ภาวะ "Risk-off" สุดขีด จะเห็นการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกชนิด และย้ายไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ หรือสกุลเงินของประเทศที่มีเสถียรภาพสูง
ยุบสภากดดันระยะสั้น
แต่หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับช่วงเวลาของความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น แม้การยุบสภาจะเป็นกลไกทางประชาธิปไตย แต่ในทางเศรษฐกิจและตลาดทุน มักถูกมองว่าเป็น ปัจจัยลบในระยะสั้นถึงกลาง ก่อนที่จะเห็นความชัดเจนหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่
โดยผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คาดความผันผวนสูงและแรงกดดันเชิงลบในระยะสั้น นั่นเพราะทันทีที่มีการยุบสภา ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงแรงจากแรงเทขาย (Panic Selling) เนื่องจากนักลงทุนไม่ชอบความไม่แน่นอน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติจะดึงเงินออก (Fund Outflow) เพื่อลดความเสี่ยง
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความไม่ชัดเจนของนโยบาย เพราะการที่รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินนโยบายใหม่ๆ หรือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้ จะทำให้ขาดปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะสั้น อีกทั้งการยุบสภาอาจทำให้การพิจารณางบประมาณประจำปีล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ และทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านช่องทางนี้สะดุด
แต่การฟื้นตัวอาจเกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง (หากได้รัฐบาลที่มั่นคง) เนื่องจากในอดีต มีสถิติว่าตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นในช่วง 1-3 เดือนก่อนและหลังการเลือกตั้ง หากผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่ชัดเจนและสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพได้รวดเร็ว นักลงทุนก็จะมีความเชื่อมั่นกลับคืนมา ทำให้จะมีกลุ่มหุ้นที่อ่อนไหวจากเรื่องดังกล่าว เริ่มที่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวของโครงการลงทุนภาครัฐ ถัดมาคือ กลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ (บางส่วน) อาจได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของนโยบายพลังงาน รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ (Blue Chip) มักถูกเทขายจากนักลงทุนต่างชาติเป็นลำดับ
แรก
ถัดมาคือ หุ้น Domestic Play (หุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ) อาจได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงในระยะสั้น และหุ้น Defensive (หลุมหลบภัย) อาจถูกมองหา เช่น โรงไฟฟ้า (แม้ว่าบางนโยบายอาจกระทบได้) หรือโรงพยาบาล
รัฐประหารฉุดหุ้นดิ่งแรง
ขณะที่หากเกิดสถานการณ์รัฐประหารขึ้นในประเทศไทย ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยจะรุนแรงและฉับพลันกว่าการยุบสภาหรือความไม่แน่นอนทางการเมืองทั่วไป เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจโดยไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและภายในประเทศอย่างมหาศาล
โดยทันทีที่มีข่าวหรือสัญญาณของการรัฐประหาร ตลาดหุ้นจะเกิด "Panic Selling" หรือการเทขายหุ้นอย่างบ้าคลั่ง ดัชนี SET มีแนวโน้มที่จะ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วที่สุด อาจแตะระดับ Circuit Breaker (หยุดการซื้อขายชั่วคราว) หลายครั้ง หรืออาจมีการพิจารณา ปิดทำการซื้อขายชั่วคราว เพื่อควบคุมสถานการณ์
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติจะถอนเงินลงทุนออกจากประเทศไทยอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก เพื่อย้ายไปยังสินทรัพย์และประเทศที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากมองว่ประเทศไทยมีความเสี่ยงทางการเมืองสูงมาก ไม่มั่นคง และขาดเสถียรภาพ และจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมากและผันผวนรุนแรง อีกทั้งตลาดจะไม่สามารถคาดเดาทิศทางในอนาคตได้เลย ทั้งนโยบายเศรษฐกิจ การค้า หรือกฎหมาย ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุน