บริษัท แอดวานซ์ คอนเนคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ACC ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งให้ชี้แจงปมธุรกรรมที่น่าสงสัย เกี่ยวกับการลงทุนในบริษัทอื่น มูลค่า 264 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีก 1 ในปมธุรกรรมที่เข้าข่ายไม่ตรงไปตรงมาของบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้
ACC แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2568 โดยผู้สอบบัญชีมีเงื่อนไขและข้อสังเกตเกี่ยวกับการลงทุนในบริษัท อาร์ทีเอส (2003) หรือ RTS สัดส่วน 60% ของทุนจดทะเบียน มูลค่ารวม 264 ล้านบาท โดยชำระเป็นหุ้น ACC ให้ผู้ขาย 3 ราย ซึ่งบริษัท ฯ พบความผิดปกติในการจดทะเบียนเพิ่มทุนของ RTS ที่เกิดก่อนบริษัท ฯ เข้าลงทุน
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลเงินให้กู้ยืมกรรมการ RTS จำนวน 245 ล้านบาท และบุคคลอื่นอีก 176 ล้านบาท โดยไม่มีหลักประกันและไม่คิดดอกเบี้ย และลูกหนี้ไม่ได้รับชําระเงินคืนตามกําหนด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมภายใน กระทบต่อฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัท ฯ
ตลาดหลักทรัพย์สั่งให้ ACC ชี้แจงข้อมูลปมธุรกรรมภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินและติดตามคําชี้แจงของบริษัท ฯ
ACC จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2536 โดยเปลี่ยนชื่อจาก บริษัท คอม พาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CEI หรือฉายาหุ้น “พัดลม” ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นหุ้นร้อนในอดีต
พฤติกรรมที่ชวนสงสัยในความไม่ตรงไปตรงมาของฝ่ายบริหาร ACC ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะการลงทุนหุ้น RTS เท่านั้น แต่ยังมีพฤติกรรมที่เข้าขายหลอกต้มนักลงทุนรายย่อย เกิดขึ้นซ้ำซาก โดยเฉพาะการเพิ่มทุน
ปี 2561 ACC ประกาศเพิ่มทุน 600 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 60 สตางค์ ชำระค่าหุ้นระหว่าง 22-28 กุมภาพันธ์ 2561 ปรากฏว่า มีผู้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้น 143.05 ล้านหุ้น หรือเกือบ 25% ของหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด
ปลายปี 2567 ประกาศเพิ่มทุนอีก 447.68 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 60 สตางค์ มีผู้ใช้สิทธิจองซื้อ 97.27 ล้านหุ้น ไม่ถึง 25% ของหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด
ปัญหาคือ การเพิ่มทุนทั้ง 2 ครั้ง ผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่มไหนเป็นผู้จองซื้อหุ้น
ACC มีกลุ่มนายณชพล สองทิศ ถือหุ้นใหญ่รวมกันสัดส่วนประมาณ 24% ของทุนจดทะเบียน มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 4,526 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 76.07% ของทุนจดทะเบียน
มติการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียน ถูกผลักดันจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ผ่านมติคณะกรรมการบริษัท แต่การเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนนับสิบๆแห่ง มักเป็นรายการ “แหกตา” หรือรายการ “หลอกต้ม”
เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ สละสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย เติมเงินเข้าบริษัท และเมื่อระดมทุนได้แล้ว ผู้บริหารบริษัท ฯ มักผ่องถ่าย ไซฟ่อนเงินออก ในรูปการซื้อทรัพย์สินหรือการลงทุน สูบเงินออกจนบริษัทเหลือแต่ซาก
เมื่อกิจการล่มสลาย เงินถูกผ่องถ่ายออกไปหมด นักลงทุนรายย่อยจะกลายเป็น “เจ้าทรัพย์” ที่ได้รับความเสียหาย
ช่องโหว่ของการเพิ่มทุน เพื่อหลอกต้มสูบเงินนักลงทุนรายย่อยดำเนินมาตลอดหลายสิบปี แต่ไม่เคยมีหน่วยงานใดคิดแก้ไขปัญหา
ปล่อยให้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปล่อยให้อาชญากรที่แฝงมาในร่างผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน เปิดปฏิบัติการ เพิ่มทุนหลอกกินเงินผู้ถือหุ้นรายย่อย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรปิดฉากการเพิ่มทุน “แหกตา” เพื่อปล้นเงินผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียที และกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ โดยแบบรายงานผลการเสนอชายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้วยว่า ใครบ้างเป็นผู้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้น
ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ผลักดันมติเพิ่มทุน แต่ไม่ยอมจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน นักลงทุนทั้งตลาดหุ้น จะได้ช่วยกันโห่ ช่วยกันรุมประณามพฤติกรรมที่เลวร้าย และหลอกต้มเงินผู้ถือหุ้นรายย่อย
ต่อจากนี้หากบริษัทจดทะเบียนใดเพิ่มทุน เมื่อจัดประชุมวิสามัญขอมติผู้ถือหุ้นเมื่อไหร่ ผู้ถือหุ้นรายย่อยต้องเข้าร่วมประชุม และถามผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อขอคำมั่นหรือคำสัญญาว่า จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสิทธิหรือไม่
หรือจะขอคำสาบานให้ฟ้าฝ่าตาย ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ โกหกหลอกลวงไม่ยอมใส่เงินเพิ่มทุนตามสิทธิ
นานแล้วที่ผู้ถือหุ้นรายย่อย ถูกต้มจนสุก ถูกปล้นเงินจนเกลี้ยงตัว จากมติเพิ่มทุน “แหกตา”
แต่ทำไมพฤติกรรมอันแสนเลวร้าย หลอกต้มเงินนักลงทุนนับแสนๆรายยังดำเนินมาหลายสิบปี
แม้แต่การเพิ่มทุน “แหกตา” ผู้ถือหุ้นรายย่อย ACC ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซาก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์กลับยังหลับใหลเหมือนเดิม