xs
xsm
sm
md
lg

จีนท้าชนดอลลาร์! ผลักดันหยวนดิจิทัลสู่ระบบเงินโลกแบบพหุขั้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารกลางจีนเดินเกมเร็วผู้ว่าแบงก์ชาติจีนประกาศผลักดัน หยวนดิจิทัลขึ้นแท่นเวทีการเงินโลก พร้อมชูวิสัยทัศน์ระบบการเงินพหุขั้ว ลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ เปิดศูนย์ e-CNY ในเซี่ยงไฮ้ ท่ามกลางความตึงเครียดการค้าโลก

จีนนำทัพหยวนดิจิทัล หวังเพิ่มทางเลือกใหม่การเงินโลก

พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน (People’s Bank of China: PBOC) กล่าวถ้อยแถลงบนเวที Lujiazui Forum ที่เซี่ยงไฮ้โดยเน้นย้ำถึงแผนการปฏิวัติระบบการเงินโลกด้วยการผลักดันหยวนดิจิทัล (e-CNY) สู่เวทีสากล และเรียกร้องให้สร้างระบบการเงินพหุขั้ว (multi-polar currency system) ที่หลายสกุลเงินครองอำนาจร่วมกัน เพื่อลดการพึ่งพา ดอลลาร์สหรัฐที่ผูกขาดมานานหลายทศวรรษ

พานย้ำว่า การพึ่งพาดอลลาร์มากเกินไปสร้างความเสี่ยงต่อระบบการเงินโลก และอาจถูกใช้เป็น “อาวุธ” ทางการเมือง เช่น การตัดรัสเซียออกจากระบบ SWIFT ในช่วงสงครามยูเครน เขาเสนอให้สกุลเงินหลัก ๆ เช่น หยวน และ ยูโร มีบทบาทมากขึ้นในแต่ละภูมิภาค สร้างระบบที่แข่งขันและถ่วงดุลกัน เพื่อความมั่นคงทางการเงินโลก

อย่างไรก็ดี เพื่อเร่งเครื่องสู่เป้าหมายจีนประกาศตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการ e-CNY สากล ในเซี่ยงไฮ้ หวังเป็นฐานบัญชาการขยายการใช้หยวนดิจิทัลในระดับโลก หยวนดิจิทัล ซึ่งทดลองใช้ในจีนมาตั้งแต่ปี 2562 ถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ที่ก้าวหน้าที่สุด แต่การยอมรับในประเทศยังจำกัด การขยายสู่เวทีโลกจึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของปักกิ่ง

นอกจากนี้พานยังชี้ว่าบล็อกเชน และ สเตเบิลคอยน์ กำลังเปลี่ยนโฉมระบบชำระเงินข้ามพรมแดน โดยหยวนดิจิทัลจะใช้สมาร์ทคอนแทร็กต์และเทคโนโลยี DeFi เพื่อเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนเมื่อเทียบกับระบบดั้งเดิมที่ล้าสมัยและพึ่งพาดอลลาร์ เขายกตัวอย่างว่า การโอนเงินข้ามพรมแดนแบบดั้งเดิมใช้เวลาเฉลี่ย 5 วันและเสียค่าธรรมเนียมกว่า 6% ขณะที่สเตเบิลคอยน์ทำได้ในเสี้ยววินาทีและแทบไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ จีนยังดึง 6 ธนาคารต่างชาติ เช่น Standard Bank และ First Abu Dhabi Bank เข้าร่วม Cross-Border Interbank Payment System (CIPS) ซึ่งเป็นระบบชำระเงินข้ามพรมแดนที่ใช้หยวน สะท้อนถึงความพยายามขยายอิทธิพลของหยวนในค้าปลีกโลก

ทำไมจีนถึงเร่งเครื่องตอนนี้?

อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของจีนไม่ได้เกิดในสุญญากาศ! ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ และนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้จีนต้องหาทางลดการพึ่งพาดอลลาร์ นอกจากนี้ การที่จีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ของอิหร่าน และ รัสเซีย โดยใช้หยวนผ่านธนาคารขนาดเล็ก แสดงถึงความพยายามสร้างระบบการเงินทางเลือกที่ไม่ต้องพึ่งดอลลาร์

นอกจากนี้ Financial Times รายงานว่า หยวนกลายเป็นสกุลเงินอันดับสองในการเงินการค้าระหว่างประเทศ และอันดับสามในการชำระเงินทั่วโลก นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551 การผลักดันหยวนดิจิทัลจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ต้องการยกระดับอิทธิพลของจีนในระบบการเงินโลก

พันธมิตรยุโรป ส่งสัญญาณตอบรับเชิงบวก

ทั้งนี้จีนไม่ได้เดินเกมนี้คนเดียว! การพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง กับประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) คริสติน ลาการ์ด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ปักกิ่ง แสดงถึงความร่วมมือที่ลึกซึ้งขึ้น ลาการ์ดระบุว่า การครองอำนาจของดอลลาร์ “ไม่แน่นอนอีกต่อไป” และยูโรมีโอกาสเติบโตในระบบการเงินโลก การที่จีนและยุโรปเห็นพ้องถึงระบบการเงินพหุขั้ว ส่งสัญญาณว่าโลกอาจกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ดอลลาร์ไม่ได้เป็น “ราชา” เพียงหนึ่งเดียว

พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน (People’s Bank of China: PBOC)
ถึงแม้วิสัยทัศน์ของจีนจะแสดงพัฒนาการก้าวกระโดด แต่หนทางยังเต็มไปด้วยขวากหนามเนื่องจาก

ปัญหาการยอมรับในระดับโลก : เนื่องจากหยวนดิจิทัลยังขาดการยอมรับในต่างประเทศ เนื่องจากความกังวลเรื่องการควบคุมโดยรัฐบาลจีนและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ปัญหาการแข่งขันของสเตเบิลคอยน์ : สเตเบิลคอยน์เอกชน เช่น USDC และ USDT มีมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ และครองตลาดการชำระเงินดิจิทัล จีนต้องพิสูจน์ว่า e-CNY เหนือกว่า ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน

กฎระเบียบสหรัฐฯ : การผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act ของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เพื่อควบคุมสเตเบิลคอยน์ แสดงถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในเวทีดิจิทัล และหยวนดิจิทัลของจีน อาจถูกเพ่งเล็งหรือขึ้นบัญชีดำเนื่องจากสถานะที่อาจสั่นคลอนดอลลาร์สหรัฐ

โครงสร้างพื้นฐานยังไม่เสถียร : ระบบ CIPS ของจีนยังมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ SWIFT ในปัจจุบัน และต้องขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น


นอกจากนี้ ชุมชนคริปโตบางส่วนบน X เช่น @MartijnRasser มองว่า การผลักดันของจีนอาจถูกตีความว่าเป็น “การท้าทายสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย” ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อวงการคริปโตและการเงินโลก ทั้งทางตรงและทางอ้อม

การเคลื่อนไหวของจีนกำลังเขย่าระบบการเงินโลกและวงการคริปโต

กระแสนิยมของ CBDC : การที่จีนนำหน้าด้วย e-CNY อาจกระตุ้นให้ประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และบราซิล เร่งพัฒนา CBDC ของตัวเอง

แรงกดดันต่อสเตเบิลคอยน์ : เนื่องจากหยวนดิจิทัลอาจบีบให้ผู้ออกสเตเบิลคอยน์เอกชนปรับตัว โดยเฉพาะในเรื่องความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎหมาย

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้า : การขยาย CIPS และ e-CNY อาจทำให้การค้าสากลใช้ดอลลาร์น้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ BRICS

โอกาสสำหรับบล็อกเชน : การที่จีนยอมรับบล็อกเชนในระบบการเงินอาจหนุนให้เทคโนโลยีนี้เติบโตในระดับสถาบัน


อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนคริปโตและการเงิน การผลักดันของจีนเปิดโอกาสและความท้าทาย เช่น

สเตเบิลคอยน์จีน : หากหยวนดิจิทัลหรือสเตเบิลคอยน์ที่หนุนด้วยหยวน (เช่น ที่ JD.com เสนอ) ได้รับความนิยม อาจเป็นโอกาสลงทุนใหม่

อานิสงส์หุ้นที่เกี่ยวข้อง : บริษัทที่พัฒนาโครงสร้างบล็อกเชน เช่น Alibaba หรือ Tencent และธนาคารที่เข้าร่วม CIPS อาจได้ประโยชน์

ความผันผวนของ BTC : การลดอิทธิพลของดอลลาร์อาจหนุนบิทคอยน์ในระยะยาวในฐานะสินทรัพย์กลาง แต่ระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนจากความไม่แน่นอน

ความเสี่ยงในอนาคตที่ยังมองไม่เห็น : การลงทุนในโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับจีนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากกฎระเบียบและการเมืองระหว่างประเทศ


หยวนดิจิทัล การปฏิวัติทางการเงินโลกหรือแค่ฝันใหญ่ของปักกิ่ง?

อย่างไรก็ตาม จากศูนย์ e-CNY ในเซี่ยงไฮ้ สู่การท้าทายระเบียบการเงินโลก การเคลื่อนไหวของจีนคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลก ด้วยหยวนดิจิทัลเป็นธงนำหน้าและบล็อกเชนเป็นอาวุธ จีนกำลังวาดฝันถึงโลกที่ดอลลาร์ไม่ได้ครองอำนาจเพียงฝ่ายเดียว แต่เมื่อสหรัฐและพันธมิตรไม่นั่งเฉย ศึกนี้จะจบลงด้วยชัยชนะของพหุขั้ว หรือนำไปสู่สงครามการเงินครั้งใหม่ ชุมชนคริปโตและนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตา เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหยวน แต่เป็นอนาคตของเงินทั้งโลก