xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม พ.ค. ปรับลงต่อเนื่อง กังวลเศรษฐกิจ-การเมืองในประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 88.1 ปรับตัวลดลง จาก 89.9 ในเดือนเม.ย. 68 โดยผู้ประกอบการกังวลเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจโลก สถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

*ปัจจัยลบ
- สถานการณ์อุทกภัย และการรั่วไหลของสารเคมีในภาคเหนือ กระทบต่อภาคเกษตรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

- คู่ค้าในต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอการสั่งซื้อสินค้า จากการเร่งสต๊อกสินค้าในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น

- ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าชายแดนในระยะสั้น

- ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออก

- ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อาทิ ข้าว ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง กระทบกำลังซื้อในภูมิภาค

- ภาวะอุปทานส่วนเกินในจีน และความไม่แน่นอนของการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ยังคงส่งผลให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนเพิ่มขึ้น กระทบยอดขายผู้ผลิตในประเทศ

- ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนสะท้อนจากยอดการจัดตั้งธุรกิจ (ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 68) ลดลง -4.39%YoY ขณะที่ยอดการเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 8.34%YoY

*ปัจจัยบวก ได้แก่
- ธนาคารพาณิชย์ มีการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทำให้ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน

- ต้นทุนค่าพลังงานยังคงทรงตัว จากมาตรการตรึงราคาของภาครัฐ เช่น ค่าไฟฟ้า 3.98 บาท/หน่วย (งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 68) และน้ำมันดีเซล 31.94 บาท/ลิตร

*คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า
ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ 91.7 จาก 93.3 ในเดือน เม.ย. 68 เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ Reciprocal Tariff จากความไม่แน่นอนการเจรจาทางภาษีกับวหรัฐอเมริกา อาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน และความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว, แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ

อย่างไร็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการลงทุนภาครัฐ 1.57 แสนล้านบาท ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และท่องเที่ยว คาดว่าจะหนุนการจ้างงาน สร้างรายได้ และเสริมศักยภาพการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาว

*ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. ขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และออกมาตรการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เช่น พัฒนาระบบข้อมูลติดตามข้อมูลการนำเข้าและส่งออกไปยังสหรัฐฯ การตรวจสอบย้อนกลับโรงงานที่ยื่นขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) และการทบทวนเงื่อนไขการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (Free Zone) เป็นต้น

2. ขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) อาทิ การขยายตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง การลดต้นทุนการผลิต

3. ขอให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมผลิตภาพการผลิต ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สำหรับ SMEs และการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation & Robotic) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต


กำลังโหลดความคิดเห็น