"อินโนเวสท์ เอกซ์" เปิด 3 Scenario วิเคราะห์สถานการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ประเมินกรณีเลวร้ายสุด ทำราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งสูงกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และอาจสูงถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล และเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4% หรือสูงกว่านั้นในสหรัฐฯ และหลายประเทศ ทำ ศก.โลกชะลอตัวรุนแรง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่วนจีดีพีไทยปีนี้โตแค่ 1%แต่หากโอกาสเกิดในพื้นที่จำกัดมากสุด กระทบส่งออกติดลบ 0.5- 3% จีดีพีไทยปีนี้โต 1.4% โดยมองความขัดแย้งแนวโน้มยืดเยื้้อ และอาจทวีความรุนแรง
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์สรุปประเด็นวิเคราะห์สถานการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน การเจรจาการค้าไทยย้ายมาเป็น Online ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อิสราเอลได้โจมตีโรงงานนิวเคลียร์นาทานซ์ในเมืองอิสฟาฮานและสังหารผู้นําระดับสูงของกองทัพอิหร่านหลายราย รวมถึง Mohamad Bagheri หัวหน้าคณะเสนาธิการทหาร อิหร่านตอบโต้ด้วยการส่งโดรนกว่า 100 ลํา แต่ถูกสกัดกั้นได้เกือบทั้งหมด
การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้มีแนวโน้มยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเป็น "เกมที่อันตราย" ที่แต่ละฝ่ายพยายามตอบโต้และสร้างความได้เปรียบ โดยสาเหตุหลักที่สงครามไม่น่าจะจบเร็วคือ การโจมตีที่รุนแรงของอิสราเอลต่อเป้าหมายยุทธศาสตร์ ความมุ่งมั่นของเนทันยาฮูในการหยุดโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ความซับซ้อนของโครงการนิวเคลียร์ที่ฝงลึกใต้ภูเขา ความจําเป็นของอิหร่านในการตอบโต้เพื่อรักษาหน้า และบทบาทของสหรัฐฯ ที่สร้างความซับซ้อนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ได้วิเคราะห์แบ่งสถานการณ์เป็น 3 ระดับ ได้แก่
Scenario 1: สถานการณ์ฐาน (Base Case - โอกาส 50%)
อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีเล็กน้อยและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันหรือฐานทัพสหรัฐฯ และไม่ได้ปิดช่องแคบเฮอร์มุซ อาจเป็นเพียงการยิงโดรนหรือขีปนาวุธที่ถูกสกัดกั้นได้ง่ายในลักษณะที่เคยทํา ด้านการเจรจาต่อรองประสบความสําเร็จระดับหนึ่ง โดยการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านกลับมาเดินหน้าอย่างจริงจัง และอาจนําไปสู่ข้อตกลงใหม่ที่จํากัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่ประเทศมหาอํานาจและองค์กรระหว่างประเทศสามารถกดดันให้ทั้งสองฝ่ายลดระดับความขัดแย้งลงอย่างมีนัยสําคัญ ด้านสงครามการค้าผ่อนคลายลง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก:
(1) ราคาน้ำมัน: ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ 74.82 ดอลลาร์/บาร์เรล กลับไปสู่ระดับ 60-65 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือต่ำกว่า ภายใน 1 เดือน โดยเฉพาะหลังจากมีการเจรจายุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
(2) เงินเฟ้อ: แรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากราคาพลังงานลดลง ทําให้ธนาคารกลางต่าง ๆ โดยเฉพาะ Fed มีช่องว่างในการพิจารณานโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น (มีโอกาสลดดอกเบี้ย)
(3) การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ได้รับผลกระทบจํากัด เนื่องจากความไม่แน่นอนลดลงหลังจาก 1 เดือน และต้นทุนพลังงานไม่พุ่งสูง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย:
(1) ราคาน้ำมัน: ลดลงตามตลาดโลก ทําให้ต้นทุนพลังงานของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง เงินเฟ้อในประเทศชะลอตัว
(2) การส่งออก: ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเร็วขึ้น และสงครามการค้าที่ผ่อนคลาย ทําให้การส่งออกหดตัวน้อยลงที่ ติดลบ 0.5 ถึง ติดลบ 3.0%)
(3) การท่องเที่ยว: ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับมาเร็วขึ้น ทําให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี
(4) นโยบายการเงิน: ธปท. มีโอกาสที่จะพิจารณาลดดอกเบี้ยได้มากขึ้นหากเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม และเศรษฐกิจต้องการการกระตุ้น ภาพรวม เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวในระดับบนของคาดการณ์ที่ 1.4% หรือสูงกว่า
Scenario 2: สถานการณ์อีมครึม (Worse Case - โอกาส 40%)
ภาพรวมสถานการณ์: เกิดการปะทะกันเป็นระยะ แต่ควบคุมได้ โดยอิสราเอลและอิหร่านมีการตอบโต้กันเป็นระยะ ๆ (tit-for-tat) แต่ไม่ได้ลุกลามเป็นการทําสงครามเต็มรูปแบบ อิหร่านอาจโจมตีเป้าหมายทางทหารหรือผลประโยชน์ของอิสราเอล/สหรัฐฯ ผ่านกลุ่มตัวแทน หรือมีการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ไม่มีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันหลัก ๆ โดยตรง ด้านการขนส่งน้ำมัน ไม่มีการปิดช่องแคบเฮอร์มุซ สถานการณ์ดังกล่าว จะทําให้ราคาน้ำมันทรงตัวสูง (อาจแกว่งตัวในกรอบ 70-90 ดอลลาร์/บาร์เรล) เนื่องจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ ด้านสงครามการค้ามีสถานการณ์ทรงตัว โดยมีความคืบหน้าจากการเจรจาทางการค้าไม่ทันเส้นแต่จะไม่ทันเส้นตาย 9 กรกฎาคม
โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก:
(1) ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง กดดันต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งทั่วโลก
(2) เงินเฟ้อ: ยังคงเป็นปัญหาสําคัญ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทําให้ Fed มีแนวโน้ม "ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น"
(3) การเติบโตของเศรษฐกิจโลก: ชะลอตัวลงตามคาดการณ์เดิม โดยมีแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นเพิ่มเติม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย:
(1) ราคาน้ำมัน: สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
(2) การส่งออก: ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทําให้การส่งออกหดตัวมากขึ้น
(3) การท่องเที่ยว: อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นของผู้เดินทางทั่วโลกที่ลดลง
(4) นโยบายการเงิน: ธปท. อาจเผชิญภาวะลําบากในการตัดสินใจ หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจยังอ่อนแอ ภาพรวม: เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงสู่ 1.2%
Scenario 3: สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case - โอกาส 10%)
ภาพรวมสถานการณ์: สงครามเต็มรูปแบบและขยายวง: ความขัดแย้งลุกลามเป็นการทําสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค อิหร่านอาจโจมตีเป้าหมายน้ำมันสําคัญ (เช่น Kharg Island) หรือโครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตรสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย (เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) หรืออาจพยายามปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งการโจมตีหรือวางทุ่นระเบิดจะทําให้การขนส่งหยุดชะงักอย่างรุนแรง และอาจดึงสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก: ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน: พุ่งสูงกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และอาจสูงถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือมากกว่านัน หากช่องแคบเฮอร์มุซถูกปิดหรือการผลิตน้ำมันในภูมิภาคถูกกระทบอย่างหนักทําให้ภาวะ Stagflation รุนแรง โดยเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4% หรือสูงกว่านั้นในสหรัฐฯ และหลายประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างรุนแรง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอย ด้าน Fed ต้องพิจารณาขึ้นดอกเบี้ย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย : ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของประชาชนอย่างรุนแรง การส่งออก ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน การท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความกังวลด้านความปลอดภัยและต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้น ทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ด้านนโยบายการเงิน: ธปท. ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ ทําให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวรุนแรง โดย GDP ขยายตัวเพียง 1.0%
ผลกระทบรวมต่อเศรษฐกิจโลกและไทย
ผลกระทบหลักจะเห็นได้จากราคาน้ำมันที่ผันผวนและสูงขึ้น ความเสี่ยง Stagflation ที่เพิ่มขึ้นเมื่อต้นทุนการผลิตแพงขึ้นแต่เศรษฐกิจชะลอตัว ทําให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น ตลาดการเงินผันผวนต่อเนื่อง และห่วงโซ่อุปทานโลกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนเส้นทางขนส่ง สําหรับเศรษฐกิจไทย ในทุกสถานการณ์จะเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น การส่งออกที่หดตัว และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ โดยในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ และเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.0% พร้อมเผชิญความเสี่ยงสูงในการเข้าสู่ภาวะถดถอย
การเจรจาการค้าไทยย้ายมาเป็น Online
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แถลงว่าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มจัดแบบออนไลน์เนื่องจากเส้นตาย 9 กรกฎาคมใกล้เข้ามา โดยยังไม่กําหนดวันแน่นอนแต่เตรียมความพร้อมเร่งด่วน เพราะหากเจรจาล้มเหลวไทยจะเผชิญภาษี 36% ที่กระทบการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด
ขณะเดียวกันรายงานซิตี้กรุ๊ปชี้ให้เห็นการเบี่ยงเบนการค้าที่จีนเพิ่มการส่งออกมาไทยในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ลดลง 33% ทําให้สินค้าจีนราคาถูกท่วมตลาดไทยและกดดันผู้ผลิตในประเทศ ประกอบกับความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านที่ยืดเยื้อทําให้ราคานมันพุ่ง 10% และอาจสูงถึง 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในสถานการณ์เลวร้าย ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งและการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
ความเสี่ยงทั้งสามด้านนี้ทําให้เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดัน หากการเจรจาล้มเหลวจะทําให้การส่งออกหดตัวรุนแรงกว่าประมาณการ -3.0% ขณะที่การถูกดัมพ์สินค้าจีนจะสร้างการแข่งขันไม่เป็นธรรม และต้นทุนพลังงานสูงจะกดดันเงินเฟ้อ ทําให้ธปท.ลดดอกเบี้ยยากขึ้น เพิ่มความเป็นไปได้ที่ GDP จะขยายตัวต่ำกว่าประมาณการฐาน 1.4% และมีความเสี่ยงสูงเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคในครึ่งหลังปี 2568