นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(17มิ.ย.68)ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.39-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีภาคการผลิตโดย NY Fed (Empire Manufacturing Index) เดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ -16 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ทว่า เงินบาทก็ทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังว่า ทั้งสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจคลี่คลายลงได้ ตามรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของทางการอิหร่านได้ส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอลโดยเร็ว ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ต่างเผชิญแรงกดดัน โดยราคาทองคำ (XAUUSD) ก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (ทั้งนี้ เงินเยนญี่ปุ่นยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันนี้) หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) เดือนพฤษภาคม รวมถึงข้อมูลตลาดบ้าน
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ก่อน เพื่อรอประเมินความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันที่ 18 มิถุนายน นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
และในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน โดย ZEW (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมิถุนายน
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง แนวโน้มการเจรจายุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลงได้ ซึ่งอาจกดดันให้บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ทั้งทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจย่อตัวลง (อ่อนค่าลง) ได้ไม่ยาก ทำให้เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ และการแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายนัก ยกเว้น ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง (แต่หากปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในระยะสั้น ทำ All-Time High ใหม่ต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทอาจเปลี่ยนไป โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจยิ่งเร่งการเข้าซื้อทองคำ และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง) หรือในกรณีที่ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งอาจมาจากสามปัจจัยได้ อาทิ 1. เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงในระยะสั้น หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน หรือ ขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด (เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) 2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด และ 3. เฟดส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ใน Dot Plot ใหม่ ((เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) และกลับกันมีโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะสะท้อนแนวโน้มการไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟดได้)
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างวันก็อาจยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักในสัปดาห์นี้ (BOJ, เฟด และ BOE) รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย