นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้(16มิ.ย.68)ที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง"จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.51 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่พอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) บ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โดยรวมเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังพอช่วยลดทอนแรงกดดันดังกล่าวได้บ้าง จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไป หากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ หรือเป็นแรงซื้อลักษณะ Fear of Missing Out (FOMO)
สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด (จับตา Dot Plot ใหม่) พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นจะยังมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up โดยหากเฟดปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงจากที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากลุมลาม บานปลายมากขึ้น อาจต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลกอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ เราย้ำมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก ทำให้ต้องจับตาว่า ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากความสัมพันธ์ยังคงเป็นเชิงบวก ในกรณีที่ ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำก็เสี่ยงย่อตัวลงพอสมควร กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึ่งเราคาดว่าอาจจะเปลี่ยนได้ ในกรณีที่ สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น โดยภาพดังกล่าว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ (FOMO Buying) ทำให้ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง