ทริส เรทติ้งคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ที่ระดับ 1.8% โดยได้รวมผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯไว้ในการวิเคราะห์ภายใต้สมมติฐานในกรณีฐาน (Baseline Assumption) ทริสเรทติ้งคาดว่าการเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงพักการเก็บภาษีแบบตอบโต้เป็นเวลา 90 วันจะนำไปสู่การกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ระดับ 20% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 36% ที่รัฐบาลสหรัฐฯประกาศไว้เดิม โดยการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยประมาณการว่าจะขยายตัวที่ระดับ 5.2% ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิมที่ 3.7% ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการลงทุนที่อนุมัติไปแล้วเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคเอกชนเนื่องจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยการลงทุนภาคเอกชนในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 1.8% ซึ่งชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% และการบริโภคภาคเอกชนลงมาอยู่ที่ 2.3% จาก 3.1% ซึ่งสอดคล้องกับความล่าช้าในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตและการเบิกจ่ายเงินลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้าโดยรวมในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากปีที่ผ่านมา โดยการนำเข้าสินค้าที่ยังขยายตัวได้มาจากการนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยในปี 2568 การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะลดลง 10.5% ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีนจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ(low single-digit) ดังนั้น การส่งออกสินค้ารวมคาดว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ 0.15%
ในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แต่ผลลัพธ์นั้นยากที่จะคาดเดา ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนเกิดความล่าช้าเพิ่มเติมและส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน ในกรณีที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลทำให้ดุลการค้าของไทยแย่ลงไปอีก นอกจากนี้ หากงบประมาณรัฐบาลปี 2569 มีความล่าช้าก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในเชิงลบเพิ่มเติมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้าย
ยิ่งไปกว่านั้น แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ ล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลให้สภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และนอกเหนือจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แล้ว ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนของประเทศเศรษฐกิจหลักก็อาจนำไปสู่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนทั่วโลกด้วยเช่นกัน