แอนต์ อินเตอร์เนชันแนลมีแผนยื่นขอใบอนุญาตออกสเตเบิลคอยน์ในสิงคโปร์และฮ่องกง ตลอดจนถึงลักเซมเบิร์ก ส่งสัญญาณการยอมรับคริปโตมากขึ้นในหมู่บริษัทฟินเทค ขณะที่ข้อมูลเมื่อไม่กี่วันนี้ระบุว่า มูลค่าตามราคาตลาดของสเตเบิลคอยน์ทะลุ 250,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก และอาจแตะ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
บลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันพฤหัสฯ (12 มิ.ย.) ว่า แอนต์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือในสิงคโปรของแอนต์ กรุ๊ปของแจ็ค หม่า กำลังเตรียมยื่นขอใบอนุญาตในฮ่องกง หลังจากกรอบข้อบังคับสำหรับสเตเบิลคอยน์เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม อีกทั้งยังเล็งขอใบอนุญาตในสิงคโปร์และลักเซมเบิร์กต่อไป
แอนต์ กรุ๊ปเป็นบริษัทในเครืออาลีบาบา กรุ๊ปของจีน และเป็นเจ้าของและดำเนินการอาลีเพย์ แพลตฟอร์มชำระเงินระบบดิจิทัลใหญ่ที่สุดในโลก รองรับผู้ค้ากว่า 80 ล้านราย และผู้ใช้ 1,300 ล้านคนทั่วโลก
ความเคลื่อนไหวนี้ตอกย้ำความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่บริษัทฟินเทคดั้งเดิมที่มีต่อกฎข้อบังคับสำหรับสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกที่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ขณะที่มีการใช้สเตเบิลคอยน์ในการชำระเงินมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ข่าวนี้ออกมาภายหลังฮ่องกงผ่านกฎหมายสเตเบิลคอยน์ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นระบบออกใบอนุญาตสำหรับสเตเบิลคอยน์เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 11 ส.ค.
ภายใต้กฎใหม่ ผู้ประกอบการต้องได้รับใบอนุญาตในการออกสเตเบิลคอยน์จากองค์การเงินตราฮ่องกง (HKMA) หรืออีกนัยหนึ่งคือธนาคารกลางฮ่องกง ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับสูงสุด 5 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (640,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
เป้าหมายของแอนต์ อินเตอร์เนชันแนลคือ เปิดรับสเตเบิลคอยน์สำหรับปฏิบัติการทางการเงินที่รวมถึงการชำระเงินข้ามพรมแดนและบริการจัดการด้านการเงิน
แหล่งข่าวเผยว่า ระหว่างปีที่แล้ว 1 ใน 3 ของการทำธุรกรรมทั่วโลกทั้งหมดของแอนต์ อินเตอร์เนชันแนลมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ประมวลผลผ่านแพลตฟอร์มเวลที่ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน
นับจากต้องยกเลิกแผนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ในปี 2020 และรัฐบาลจีนคุมเข้มธุรกิจสินเชื่อออนไลน์ของบริษัท แอนต์ กรุ๊ปเริ่มปรับโฟกัสหันไปเน้นการขยายตัวทั่วโลกและการให้บริการลูกค้าประเภทธุรกิจมากขึ้น
แอนต์ อินเตอร์เนชันแนลที่ปีที่แล้วมีรายได้เฉียด 3,000 ล้านดอลลาร์ ทำกำไรติดต่อกันสองปีซ้อน และเมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวโน้มการแยกธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหุ้น
เดิมพันระยะยาวกับคริปโต
แอนต์ กรุ๊ปและบริษัทในเครือแสดงความสนใจในระบบบล็อกเชนและการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เดือนธันวาคมที่ผ่านมา แอนต์ ดิจิทัลร่วมมือกับ Sui ซึ่งเป็นบล็อกเชน layer-1 เพื่อแปลงสินทรัพย์ในโลกจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลเป็นโทเคน
แผนการริเริ่มเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์ของแอนต์มีเป้าหมายในการสนับสนุนบริการชำระเงินข้ามพรมแดนและบริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและลูกค้าภายนอกที่ต้องการการทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่รวดเร็วขึ้นและต้นทุนถูกลง
ข่าวคราวล่าสุดของแอนต์ อินเตอร์เนชันแนลที่สะท้อนการให้ความสำคัญมากขึ้นกับบล็อกเชนในฐานะเสาหลักของกลยุทธ์ธุรกิจระหว่างประเทศนั้น ยังเกิดขึ้นหลังจากที่ DefiLlama เปิดเผยว่า มูลค่าตามราคาตลาดของสเตเบิลคอยน์ทะลุ 250,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย.)
นอกจากนั้น เดวิด แพคแมน หุ้นส่วนผู้จัดการของคอยน์ฟันด์ ยังคาดการณ์ว่า ซัปพลายสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกอาจมีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนสิ้นปีนี้ และอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของตลาดคริปโตที่สำคัญอันดับถัดไป ขณะที่ Citi ทำนายว่า มูลค่าตามราคาตลาดของสเตเบิลคอยน์จะแตะ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังเร่งออกกฎเกณฑ์สำหรับสเตเบิลคอยน์ เนื่องจากมีความกังลมากขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินและความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวโยงกับสินทรัพย์ชนิดนี้ที่มีวิวัฒนาการรวดเร็วมาก
พร้อมกันนี้ ฮ่องกงกำลังผงาดขึ้นมาเป็นฮับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการจัดการ และกรอบกฎเกณ์สำหรับสเตเบิลคอยน์ที่กำลังจะเริ่มบังคับใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากำลังดึงดูดความสนใจของผู้เล่นจากทั่วโลก
แผนการล่าสุดของแอนต์ยังสะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนของฮ่องกง และตอกย้ำบทบาทของเกาะแห่งนี้ในการเป็นตัวกลางระหว่างจีนกับตลาดต่างประเทศ
หากได้รับใบอนุญาตจากฮ่องกง แอนต์จะมีศักยภาพการแข่งขันในบริการการชำระเงินระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และยังส่งเสริมแผนการถอยจากบริการการเงินลูกค้ารายย่อยและมุ่งหน้าสู่เทคโนโลยีที่โฟกัสลูกค้าประเภทกิจการมากขึ้น