หุ้นท่องเที่ยวเริ่มฟื้น รับแคมเปญ "สวัสดีหนีห่าว" ของรัฐ หวังดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทย หลังทัวร์จีนนิ่ง เหตุกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนหันไปเที่ยวในประเทศ อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ดึงดูด รัฐเร่งกระตุ้นเรียกความเชื่อมั่น หวังดูดนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ล่าสุดสถิติต้น มิ.ย.ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 24.11% จากสัปดาห์ก่อนหน้า นักวิเคราะห์ประเมินหุ้นกลุ่ม Tourism มอง "Neutral" หล้งเกิดแผ่นดินไหวอีกทั้งความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวกดดัน ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนต่ำ ลุ้นแคมเปญรัฐกระตุ้นการท่องเที่ยวฟื้นคืนปกติ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.เปิดแคมเปญ "สวัสดีหนีห่าว" เดินหน้ากระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดแคมเปญเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน "สวัสดี หนีห่าว" (Sawasdee Nihao) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย.25 ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนและส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตร ตอกย้ำความเป็น "Quality Destination" หรือจุดหมายปลายทางคุณภาพผ่านกิจกรรม 5 รูปแบบ ได้แก่
การกิจกรรมเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย -จีน (Tab (Table Top Sales) โดยนำผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน (Buyers) จำนวนประมาณ 300 บริษัท รวม 400ราย จากกว่า 25-30 มณฑลศักยภาพ และการจัดกิจกรรมเวทีเสวนา (Tourism Forum) ระดับ G2G โดยมีผู้ว่าการ ททท. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่านไฉ อคิรวงษ์เซ็ง Influencer ไทย เพจอาสาพาไปหลง และ Xiao Tai Hou Influencer จีน ร่วมกิจกรรมฯ มุ่งเน้นการสื่อสารเชิงบวก สร้างความมั่นใจและเน้นย้่ำบทบาทของไทยในฐานะ “Quality Destination” ส่วนกิจกรรมที่ 3 คือ Welcome Reception งานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน สื่อมวลชน KOLS (Key Opinion Leader ผู้มีอิทธิพลทางความคิด)และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อสร้างความประทับใจและสะท้อนความพร้อมของประเทศไทย ทั้งเน้นย้ำวาระการครบรอบความสัมพันธ์ทางกางการทูต 50 ปี ไทย-จีน ขณะที่ต่อมาในวันที่ 30-31 พ.ค. 25 ททท. ร่วมพันธมิตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจัดกิจกรรม
สำหรับกิจกรรมที่ 4 สำรวจเส้นทางและทดสอบสินค้าท่องเที่ยว (Agent & Media Mega Fam Trip)ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา) ระยอง จันทบุรี นครปฐม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการนำเสนอขายตลาดจีนแก่ตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจีน (Agent Educational Trip - AET) และกลุ่ม KOLs / สื่อมวลชนจีน (Media Educational Trip - MET) และสุดท้าย Sawasdee Nihao: A Celebration of Thai-China Relations; Celebrities Marketing ปรับภาพลักษณ์ประเทศไทย โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลสูงในตลาดจีนเป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาเชิงบวก เพื่อสร้างกระแสใน Mainstream Media สร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้ หลังจัดกิจกรรมนี้ ททท.จะประเมินแนวโน้มตลาดจีนอีกครั้งว่าจะขยับมากน้อยเท่าใด ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดทั้งปีอาจอยู่ประมาณ 5 ล้านคน ส่วนกรณีที่ดีที่สุด อาจทำได้ 6.9 ล้านคน หลังจากที่มีการปรับแผนการำางาน แต่ ททท.ก็จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 8 ล้านคน ส่วนอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 5,300 บาทต่อวันพักเฉลี่ย 5-6วัน
ประเมินหุ้นกลุ่ม Tourism มอง "Neutral"
บล.กรุงศรี แนะนำ "Neutral" หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว หลังจากจัดงาน Exclusive Talk โดยมีนายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้ให้ข้อมูลถึงแนวโน้มของการท่องเที่ยวไทย ททท. ยังคงเชื่อม่ันว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจากตลาดหลักเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยาฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่
โดย ททท. คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 37.47 ล้านคนในปีนี้เพิ่มขึ้น 5.5% จาก35.5 ล้านคนในปี 2024 แม้จะมีการเติบโตดังกล่าวแต่ก็ยังต่ำกว่า 39.8 ล้านคนในปี 2019 และนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นกลุ่มสำคัญและมีมาตรการกระตุ้นความเชื่อมั่น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาในปีนี้อยู่ที่ 1.4 ล้านคน (ลดลง 23% เทียบปีก่อน) ททท.คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในปีนี้ทั้งหมด 6.2 ล้านคน (-8% จากปีก่อน ) การลดลงนี้เกิดจากความกังวลด้านความปลอดภัย เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ททท.จะดำเนินมาตรการกระตุ้นความเชื่อมั่นโดยกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ใช้ปลายทางและแคมเปญการตลาด ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้เดือนพฤษภาคมนี้
การเพิ่มความหลากหลายของแหล่งนักท่องเที่ยวเพื่อชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่ง ททท. มีแผนที่จะกระจายและย้ายแหล่งนักท่องเที่ยว โดยเน้นตลาดขนาดใหญ่ เช่น อินเดีย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมา 0.63 ล้านคนในปีนี้ (6% ของทั้งหมด) เนื่องจากมีเที่ยวบินเชื่อมต่อจากเมืองต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว จากประเทศในยุโรปตอนใต้และตอนเหนือเดินทางมาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 นี้
โดย ททท. มองว่าการแข่งขันจากประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และจีน จะเพิ่มสูงขึ้น โดยญี่ปุ่นมีข้อได้เปรียบจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง โดยค่าเงินหยวหยวนของจีนอ่อนค่าลง 10% เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทของไทยที่อ่อนค่าลงเพียง 2% และค่าเงินวอนของเกาหลีที่อ่อนค่าลง 4% รวมถึงเวลาบินที่สั้นลง (เช่น เซี่ยงไฮ้ไปญี่ปุ่นใช้เวลา 3 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับไทยที่ใช้เวลา 4.3 ชั่วโมง) สำหรับเวียดนาม ททท. มองว่าการเติบโตที่แข็งแกร่ง20–30% เมื่อเทียบกับปีก่อนนั้นมาจากฐานที่ต่ำในช่วงเวลาก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ สำหรับการแข่งขันจากจีนยังส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างแข็งขันด้วยนโยบายการไม่ต้องขอวีซ่า การคืนภาษีทันทีเมื่อซื้อสินค้า และการสนับสนุนผู้ประกอบการทัวร์ ส่งผลให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น ททท. จึงจำเป็นต้องแก้ไขและปรับเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เหมาะสมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดตัวโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงโลว์ซีซั่น ซึ่งเริ่มในเดือน พ.ค.นี้ (ตามข้อมูลล่าสุดข้างต้น )
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี ระบุว่า สัญญาณชี้นำด้านนักท่องเที่ยวในสัปดาห์แรกของเดือนนี้ ( 1–7 มิ.ย. 2568) เป็นบวกเล็กน้อย โดยอ้างอิงจากจำนวนผู้ใช้บริการสนามบินของ AOT ที่เดินทางออกนอกประเทศซึ่งปรับตัวลดลง -3.9% เทียบปีก่อน ซึ่งถือว่าดีขึ้นจากช่วง 1–31 พ.ค. 2568 ที่ลดลง -4.6% จากปีก่อน ประเมินว่าเป็นสัญญาณว่านักท่องเที่ยวผ่านจุดต่ำสุดช่วงกลางปีไปแล้ว ขณะที่หากแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่าความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว และประเด็นด้านความปลอดภัยในการเดินทางน่าจะผ่านพ้นจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ระยะสั้นคาดว่าจิตวิทยาการลงทุนจะเป็นบวกต่อหุ้นท่องเที่ยวที่ปรับฐานแรงก่อนหน้านี้ และเน้นแนะนำ CENTEL,SHR, ERW , MINTและ AOT สำหรับหุ้นภาคบริการยังเน้น CPALL
บล.ทิสโก้ มองหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว หรือ TOURISM หลังได้รวมข้อมูลการท่องเที่ยวจากเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และตัวเลขล่าสุดของเดือนมีนาคม ประเทศไทยรายงานจำนวนนักท่องเที่ยว 8.3 ล้านคน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2025 ถึง 16 มีนาคม 2025 ซึ่งเติบโตเพียง 2.7% YoY กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่มีส่วนสำคัญคือ อินเดีย (+13.3% เทียบปีก่อน ) และรัสเซีย (+13.5% จากปีก่อน) อย่างไรก็ตาม การเติบโตถูกชดเชยด้วยการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากจีน (-20.2% เทียบปีก่อน ) และมาเลเซีย (-4.5% จากปีก่อน ) การรวมตัวเลขล่าสุด ประมาณการนักท่องเที่ยวใหม่ของเราสำหรับปี 2025 อยู่ที่ 36.8 ล้านคน (ลดลงจาก 37.8 ล้านคน) บล.ทิสโก้ ยังคงประมาณการเติบโตสำหรับปี 2026 และ 2027 ที่ 4% เทียบปีก่อน การเปลี่ยนแปลงข้อสมมติฐานหลักคือสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงยังคงตัวเลขสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวอื่นๆ
ดังนั้น คาดการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง 5% เหลือ 6.4 ล้านคนในปี 2025 ประมาณการนักท่องเที่ยวใหม่ของ บ่งชี้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีน 6.4 ล้านคนในปี 2025 ลดลงจากประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 7.3 ล้านคน เทียบกับประมาณการก่อนหน้าในเดือนมกราคม 2025 บล.ทิสโก้ ได้รวมความกังวลของนักท่องเที่ยวชาวจีนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยปัจจัยลบที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนคือ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวภายในประเทศจีน, อัตราแลกเปลี่ยนที่น่าดึงดูดในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และการเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินจีน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดจากการคาดการณ์การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีนน่าจะเห็นได้ที่ AOT, AAV และ ERW โดยทั้งสามมีรายได้ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด
ขณะโรงแรมไทยที่ได้ติดตามรายงานการเติบโตของ RevPAR 10% ในไตรมาส 4 ปี 2024 ซึ่งเกินกว่าตัวเลขอุตสาหกรรมที่ 3-6% ปัจจัยหลักในไตรมาสนี้คือการเติบโตของอัตราห้องพัก 8% พร้อมกับอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 2% แม้ว่าการเติบโตของ RevPAR ในไตรมาสดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับ double digits แต่คาดว่าจะมีการปรับตัวเข้าสู่ระดับ single digits ในปี 2025 และเชื่อว่าผลการดำเนินงานเหนือกว่าของโรงแรมที่กำกับดูแลได้รับการสนับสนุนจากการปรับปรุงล่าสุด (CENTEL และ ERW) ,การเปิดใช้สินทรัพย์ใหม่ (AWC) และตลาดนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ และหลากหลายจากการขยายตัวทั่วโลก (MINT)สังเกตเห็นว่าการจองล่วงหน้าได้เริ่มลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกันหลังโควิด
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ให้ MINT เป็นหุ้นแนะนำในภาคอุตสาหกรรมจากการเติบโตของ RevPAR ที่แข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากการปรับปรุง การลดหนี้และการสิ้นสุดวงจรการลงทุนที่เข้มข้น และยังคงมุมมองเชิงลบต่อหุ้นการขนส่งทางอากาศ (การชะลอตัวของนักท่องเที่ยว แรงกดดันต่ออัตราค่าโดยสารเฉลี่ย และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างสายการบินไทย) และมุมมองเชิงบวกต่อโรงแรม (การบรรเทาการชะลอตัวของปริมาณนักท่องเที่ยว การเพิ่มขึ้นของอัตราจากการปรับปรุงที่เสร็จสิ้น และการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ MINT และ CENTEL โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 43.00 และ 40.00 บาท
บล.ดาโอ มองเป็นลบต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากยอดจองโรงแรมที่ลดลง -25% หลังเกิดแผ่นดินไหว และยังคงมีเรื่องความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวกดดันอยู่ ขณะยอดจองที่ลดลงมากที่สุดคือชลบุรี -67% และ กทม.-32% ซึ่งเป็นจังหวัดหลักของการท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ดี ภูเก็ตยังเพิ่มขึ้นได้ +5% ตาม High season ทำให้ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E มีความเสี่ยงที่จะทำได้น้อยกว่าคาด หากลดลงไป 7 แสนคน จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมหายไปราว -2% เทียบปีก่อน
จากเดิมที่ บล.ดาโอ ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 37.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น +5% เทียบปีก่อนและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 7 ล้านคน เพิ่มขึ้น +4% จากปีก่อน และคาดว่าหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยคือ ERW (88%), CENTEL (80%) และ MINT (15%) ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม ฝ่ายวิจัยยังชอบ CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท), MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) ขณะที่จากประเด็นนี้มองว่า MINT จะได้รับผลกระทบน้อยสุดจากการที่มีสัดส่วนรายได้ในยุโรปสูงถึง 60%
อย่างไรก็ดี ล่าสุด กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว รายงานต้วเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่าง 26 พ.ค.-1 มิ.ย.พบว่ามีจำนวน 575,136 คน เฉลี่ย 82,162 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 24.11% จากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ถ้าเทียบจากต้นปีถึงปัจจุบันมีจำนวน 14.45 ล้านคน ลดลง 2.77% ซึ่งนักท่องเที่ยวโตขึ้นจากกลุ่มที่ได้ประโยชน์ช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาล และนักท่องเที่ยวจีนกลับมาที่ 7.6 หมื่นคน
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวสอดคล้องกับสถิติในอดีตที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะปรับลดลงต่ำสุดในเดือน พ.ค.แต่จะทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องจนถึงเดือน ส.ค.ก่อนจะปรับฐานอีกครั้งเดือน ก.ย. ดังนั้น แคมเปญของรัฐที่ออกมานั้น คาดว่าจะดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวในไทยมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อยๆ ฟื้นตัว คล้ายกับสถิติในอดีต และนั่นคือผลพวงที่จะส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ทั้ง โรงแรม สายการบิน ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ เหล่านี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง