นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(11มิ.ย.68) ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.75 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.57-32.69 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากความหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบในกรอบการเจรจา (Framework) ที่จะลดความตึงเครียดทางการค้าลง ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าวันนี้ของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย เงินบาทได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อีกทั้ง ราคาทองคำก็รีบาวด์สูงขึ้น
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา โดยบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ อาจสูงขึ้น สู่ระดับ 2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงานอาจสูงขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 2.9% ซึ่งอาจชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น จากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน และรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า หากอ้างอิงจากสถิติย้อนหลัง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในระดับ +/-1 SD ราว +0.2%/-0.4% ชี้ว่า เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ได้ (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 74% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปีนี้) ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI เพิ่มสูงขึ้น และออกมาสูงกว่าคาดชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดจะยิ่งไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ ลง โดยภาพดังกล่าวอาจช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินเอเชีย ซึ่งอาจช่วยให้บรรดาสกุลเงินเอเชียทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่า ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่ ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือกับความผันผวนของบรรดาสกุลเงินเอเชีย หากผลการเจรจาการค้าไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ และแม้ว่า บรรดาสกุลเงินเอเชีย อาจได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว แต่หากราคาทองคำปรับตัวลดลง หลุดโซนแนวรับระยะสั้น จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้