แม้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น สำหรับคำสั่งการซื้อขายหุ้นที่มีความถี่สูงหรือ HIGH-FREQUENCY TRADING (HFT) แต่เสียงวิจารณ์จากผลกระทบ HFT ยังดังสนั่นอยู่ เพราะนักลงทุนทั่วไปรู้สึกว่า ระบบการซื้อขายชนิดนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ และทำให้ราคาหุ้นเกิดความผันผวน ภายในชั่วพริบตา
เสียงเรียกร้องให้กำกับ ควบคุม หรือห้ามการซื้อขายด้วย HFT ที่ไม่เคยเงียบหาย ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทบทวนคำสั่งซื้อขายด้วย HFT อีกครั้ง และได้กำหนดมาตรการใหม่ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้
ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT สามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็ก ซึ่งอาจไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ
หุ้นที่ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT สามารถซื้อได้คือ หุ้นหุ้นสามัญ รวมถึงหุ้นที่บุคคลต่างด้าวเป็นผู้ถือ (-F) และ NVDR ในดัชนี SET100 หุ้นอ้างอิงของ DW และ Single Stock Futures ที่อยู่ในดัชนี SET100 แต่หากหุ้นอ้างอิงถูกนำออกจากดัชนี SET100 ให้ซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นต่อได้จนกว่า DW จะหมดอายุ หรือ Single Stock Futures ไม่ได้มีการซื้อขายอยู่ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว รวมทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์อื่น ประกอบด้วย DW, DR และ ETF
สำหรับผู้ลงทุนกลุ่ม HFT ที่ถือครองหลักทรัพย์อื่นนอกจากหลักทรัพย์ ยังสามารถถือครองต่อหรือขายได้ แต่ไม่อนุญาตให้ซื้อเพิ่มเติมนับตั้งแต่วันที่เกณฑ์มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 7 กรกฎาคมนี้
HFT เป็น ALGORITHMIC-TRADING ที่เน้นความเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย เพื่อกำไรส่วนต่างราคาหุ้นไม่กี่ช่องราคา โดยจะถือหุ้นในช่วงสั้น ๆ เพื่อลดความเสี่ยง และอาจถือครองหุ้นเพียงเสี้ยววินาที รวมทั้งจะซื้อขายหุ้นที่ราคาแกว่งตัวขึ้นลงแรง มากกว่าหุ้นที่ราคาไม่ขยับไปไหน เพราะมีโอกาสทำกำไรจากราคาหุ้นที่ขยับขึ้นลงมากกว่า
HFT เคยมีบทบาทสำคัญในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยปี 2013 คาดว่า มูลค่าซื้อขาย HFT มีสัดส่วนซื้อขายถึง 73% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นสหรัฐ HFT คือการซื้อขายอัลกอริทึมที่ซับซ้อน ซึ่งคำสั่งซื้อขายจำนวนมากจะถูกดำเนินการภายในไม่กี่วินาที
แต่สิ่งที่ต้องจดจำคือ HFT เพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดและกำจัดสเปรดราคาซื้อ-ขายที่เล็กน้อย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เปิดโอกาสให้บริษัทขนาดใหญ่ได้เปรียบในการซื้อขาย รวมทั้ง สภาพคล่องที่เกิดจากการซื้อขายประเภทนี้ เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะคำสั่งซื้อขาย HFT จะหายไปภายในไม่กี่วินาที ทำให้ผู้ซื้อขายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ฯ เริ่มจะมองเห็นถึงผลกระทบจาก HFT และความได้เปรียบเสียเปรียบ ความไม่เท่าเทียมระหว่างนักลงทุนต่างชาติ ที่ใช้ HFT กับนักลงทุนรายย่อยในประเทศแล้ว จะออกมามาตรการใหม่ จำกัดบทบาทคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง
โดยส่งคำสั่งได้เฉพาะหุ้นใน SET100 ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
ไม่อาจรุกรานเข้าไปโจมตีหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะหุ้นในตลาด MAI ทั้งหมด 224 บริษัท โดยปล่อยให้นักลงทุนในประเทศซื้อขายเก็งกำไรแลกหมัดวัดดวงกันเอง โดยไม่เปิดโอกาสให้ HFT เข้าไปร่วมวงโจมตี เอาเปรียบแมลงเม่า
การกำหนดให้ซื้อขายได้เฉพาะหุ้นใน SET100 เป็นการตีวงล้อมกรอบ HFT ตามเสียงเรียกร้องของนักลงทุน ซึ่งต้องรอประเมินกันอีกครั้งว่า
การส่งคำสั่งซื้อขายความถี่สูง ด้วยเครื่องมือพิเศษ ที่ช่วยให้นักลงทุนต่างชาติ สามารถกอบโกยกำไรจากหุ้นภายในเสี้ยววินาทีเดียว ยังเป็นพิษภัยต่อตลาดหุ้นไทย และทำให้นักลงทุนในประเทศหมดทางสู้หรือไม่
ถ้าตีวงให้ HFT เล่นหุ้นได้แค่ 100 ตัวแล้ว ยังมีพิษสงค์อยู่ กระทบต่อความเท่าเทียมในการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยในประเทศอยู่ ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯอาจต้องทบทวนมาตรการควบคุมอีกครั้ง
ไม่แน่ว่า สุดท้ายจะต้องตัดสินใจ ห้าม HFT อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สิ้นปัญหาและสิ้นกระแสเรียกร้องให้ใช้ HFT มาเล่นเอาเปรียบนักลงทุนในประเทศเสียที