KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองเหตุผลเบื้องหลังของการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอาการของปัญหาเบื้องหลังในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในที่สุด และการที่ศาลเข้ามายับยั้งการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ในกรณีนี้อาจะไม่เป็นผลดีต่อไทยอย่างที่หลายคนคิด โดยประเมินว่าคำสั่งศาลอาจยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยยาวนานขึ้น จากการเจรจาที่ก่อนหน้านี้ควรจะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เวลาประมานหนึ่งปี หากการขึ้นภาษีนำเข้าและการเจรจาถูกบังคับให้ต้องเข้ากระบวนการรัฐสภาอาจทำให้ภาษีที่ถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าต่อประเทศคู่ค้าจะปรับลดลงได้ยากขึ้นเพราะต้องผ่านสภาก่อนและการเจรจาอาจลากยาวกว่าหนึ่งปีได้
**ต้นตอจากขาดดุลฯกระทบหนี้-เงินดอลลาร์**
ทั้งนี้ ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง KKP Research ประเมินว่า เป็นการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงไปยังการขาดดุลการคลัง หรือที่เรียกว่า Twin deficits โดยปัญหานี้ท้ายที่สุดยังอาจเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปัจจุบันการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีแล้ว ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯโตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ระดับการขาดดุลตอนนี้จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากระดับ 122% ต่อ GDP ที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบันจะสูงขึ้นไปเป็น 156% ในปี 2578 และจะไม่สามารถปรับตัวลดลงได้ในระยะยาว สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการด้อยค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวตามไปด้วย
ดังนั้น ภาษีนำเข้ายังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงทางการค้า ดึงภาคการผลิตกลับประเทศและเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้าโดยการให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดหรือซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ลดสัดส่วนหนี้สาธารณะโดยการเพิ่มการเติบโตภายในประเทศผ่านการดึงการลงทุนในภาคการผลิตและลดกฎเกณฑ์ที่จำกัดการเติบโต รวมถึงคำสั่งของศาลการค้านอกจากไม่ได้เปลี่ยนภาพระยะยาวของนโยบายการค้าสหรัฐฯแล้ว ยังอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเลี่ยงไปหาช่องทางอื่นๆที่ทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลแฝดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมาตรการภาษีการค้าก็จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญอยู่ แต่อาจทำให้การเจรจาของไทยมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
และหากสุดท้ายศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้าอยู่ ทรัมป์จะยังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าโดยผ่านกระบวนการรัฐสภาซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจเก็บภาษีการค้าที่แท้จริงตามรัฐธรรมนูญและพรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภาอยู่ แม้อาจใช้เวลาก็ตาม ในกรณีนี้การหวังให้ศาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดภาษีนำเข้าจะทำได้ยากขึ้นในระยะยาว โดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ KKP ประเมินว่าคำสั่งศาลอาจยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยยาวนานขึ้น โดยการเจรจาที่ก่อนหน้านี้ควรจะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เวลาประมานหนึ่งปี หากการขึ้นภาษีนำเข้าและการเจรจาถูกบังคับให้ต้องเข้ากระบวนการรัฐสภาอาจทำให้ภาษีที่ถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าต่อประเทศคู่ค้าจะปรับลดลงได้ยากขึ้นเพราะต้องผ่านสภาก่อนและการเจรจาอาจลากยาวกว่าหนึ่งปีได้
**อีกด้านของความไม่สมดุลคือจีน**
นอกจากนี้ อีกปัญหาหลักของการค้าโลกในปัจจุบัน เป็นความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างประเทศผู้ซื้อกับประเทศผู้ขาย หรือเรียกอีกแบบหนึ่งคือความไม่สมดุลระหว่างประเทศที่บริโภคมากเกินไป (over-consume) กับประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป(under-consume) โดยสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลกสะท้อนจากการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในโลก แต่การที่ขาดดุลการค้าในระดับสูง พร้อมกับการก่อหนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีการบริโภคโดยรวมที่มากเกินไป ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีนมีการเกินดุลทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในประเทศมีความอ่อนแอทำให้หากจีนต้องการขยายภาคการผลิตต่อเนื่องในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยตลาดต่างประเทศเป็นแหล่งรับซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกมีการบริโภคที่น้อยเกินไป
ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังเน้นย้ำว่าในระยะยาวประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีนควรปรับสมดุลทางเศรษฐกิจโดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลกโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม การที่จะร่วมมือกันไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้อาจมีเสียงคัดค้านในการเปลี่ยนแปลงได้
**ห่วงสินค้าจีนทะลัก-กดศก.ไทยฝืดยาว**
ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคาดว่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคในระยะสั้นและอาจใช้เวลานานกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่นำไปสู่การปรับสมดุลเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี ค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ในระยะต่อไปจึงยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองหรือปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนไหวจากสินค้าจีน อย่างไรก็ตามในระหว่างนั้น คาดว่าจีนจะกระจายตลาดการส่งออกออกจากสหรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนรวมทั้งไทยที่ดูเหมือนจะมีอำนาจการต่อรองในการขึ้นภาษีนำเข้าต่ำ
และหากผู้ผลิตจีนยังทยอยลดราคาสินค้าเพื่อส่งออกมายังตลาดไทย สิ่งที่ต้องกังวลคือความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางด้านราคาต่อผู้ผลิตไทยจะยิ่งเร่งตัวขึ้นไปอีก และอาจส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นโดยทำให้กิจกรรมในภาคการผลิตและการจ้างงานหดตัวแรง ดังนั้น แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ต่อไทยจะลดลงจากความพยายามของภาครัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้า แต่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ แรงกดดันทางด้านเงินฝืดต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้นหากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานจากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย