วันที่ 20 มิถุนายนนี้ บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อลงมติเพิกถอนบริษัทออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ และจะจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นคืนหรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์ในราคาหุ้นละ 1.50 บาท
KEX กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนที่อายุสั้นมาก โดยเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และสร้างความเสียหายให้นักลงทุนจำนวนหลายหมื่นคน ตลอดระยะเวลาเพียง 4 ปีเศษ ก่อนเสนอขอถอนตัวจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน
วันแรกที่เข้าซื้อขายหุ้น KEX เคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง นักเก็งกำไรแห่กันเข้าไปลุย โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 65 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 73 บาท หลังจากนั้นถูกทุบขาย จนราคาร่วงลงมาปิดที่ 51.25 บาท
นับจากวันแรกที่เข้าตลาด ราคาหุ้น KEX เข้าสู่ช่วงขาลงเต็มตัว เช่นเดียวกับผลประกอบการบริษัท ซึ่งทรุดฮวบลงทันที หลังจะเข้ามาระดมทุนจากตลาดหุ้น โดยปี 2563 มีกำไรสุทธิ 1,405.03 ล้านบาท ปี 2564 กำไรสุทธิลดฮวบเหลือ 46.92 ล้านบาท
แต่ปี 2565 กลับมีผลขาดทุนสุทธิ 2,829.84 ล้านบาท ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 3,880.64 ล้านบาท และปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 5,911.32 ล้านบาท
ผลประกอบการ KEX ก่อนเข้าตลาดหุ้น แตกต่างราวฟ้ากับดิน หลังจากระดมทุนจากประชาชนไปเรียบร้อย
KEX นำหุ้นเสนอขายประชานเป็นครั้งแรกจำนวน 300 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 28 บาท จากพาร์ 50 สตางค์ สูบเงินจากประชาชนประมาณ 8,400 ล้านบาท ใครที่ได้รับโควตาหุ้นจองและไม่ขายในวันแรก ๆ ที่หุ้นเข้าตลาด ต้องได้รับความเสียหายกันหมด
เช่นเดียวกับนักลงทุนที่แห่เข้าไปเก็งกำไร ถ้าไม่ขายหุ้นทิ้งก่อน และถือหุ้นจนถึงวันนี้ จะต้องขาดทุนชนิดหมดตัว
ผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม ไม่ว่าบริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเคยถือหุ้นในสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียน ตอนหุ้นเข้าตลาด ได้เทขายหุ้นทิ้งไปแล้ว รวมทั้งบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ของกลุ่ม บริษัท บีทีเอส โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของนายคีรี กาญจนพาสน์
เหลือแต่นักลงทุนรายย่อยเท่านั้นที่หนีไม่ทัน และต้องแบกรับผลขาดทุนอย่างหนักหน่วง โดยจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ตกค้างอยู่ล่าสุด มีจำนวนทั้งสิ้น 19,554 ราย ซึ่งจะสามารถขายหุ้นคืนได้ในราคาหุ้นละ 1.50 บาทเท่านั้น ถ้าจะขายคืนให้ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง(ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ใน KEX และจะเป็นผู้ทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นจำนวน 651.01 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 18.57% ของทุนจดทะเบียน
4 ปี ของ KEX ในตลาดหุ้น สร้สางความสูญเสียนักลงทุนในวงกว้าง โดยผลประกอบการที่ทรุดฮวบลง หลังจากนำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ฯ ฝ่ายบริษัทบริษัท ฯอ้างว่า เกิดจากปัญหาการแข่งขันในธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนที่รุนแรง จนประชาชนผู้ลงทุนรายย่อยต้องรับกรรมแทน
KEX ไม่เป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกและแห่งเดียว ที่อวดผลประกอบการอย่างสวยหรู ก่อนนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สูบเงินจำนวนหลายพันล้านบาทจากประชาชน แต่หลังเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ เริ่มออกลาย โดยผลประกอบการตกต่ำทันทีในปีต่อไป สร้างความเสียหายให้นักลงทุน โดยไม่มีใครหรือหน่วยงานใดต้องรับผิดชอบ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในฐานะหน่วยงานที่พิจารณาอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นต่อประชาชน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานที่พิจารณาอนุมัติรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ ควรจะต้องทบทวนการพิจารณาอนุมัติการเสนอขสายหุ้นและการอนุมัติรับหุ้นใหม่เข้ามาซื้อขาย
เพราะถ้ายังจมปลักกับแนวคิด การเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน มีช่องทางการระดมเงินไดเอย่างคล่องตัว แต่ไม่ตระหนักถึงความเสียหายของประชาชน จากการซื้อหุ้นเน่า ๆ หรือหุ้นที่แต่งตัวมาอย่างดี สร้างตัวเลขงบการเงินสวยๆ เพื่อตบตา ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์
โศกนาฏกรรมจากการรับหุ้นใหม่เน่า ๆ จะเกิดขึ้นไม่มีวันจบสิ้น เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมนักลงทุน 2 หมื่นชีวิตที่ดับดิ้นคาหุ้น KEX