"อมตะ คอร์ปอเรชั่น " ควง" ดับบลิวเอซเอ คอร์ปอเรชั่น "โดดเด่น หลังยอดขายที่ดินพุ่ง ตามกระแสทุนต่างชาติย้ายฐานเข้าไทย คาดไตรมาส2-3 ยังเติบโตต่อเนื่องหนุนผลดำเนินปรับตัว แถมราคาหุ้นยังต่ำกว่า เพิ่มความน่าสนใจเข้าลงทุนในระยะยาว จาก Backlog ที่พร้อมซัพพอร์ต แม้สถานการณ์ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว แตยังเผชิญความท้าทาย จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง, อัตราเงินเฟ้อ, การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐล่าช้า รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเข้าลงทุน เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงและ S-Curve และนโยบายรัฐบาล อาทิ โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ ยังมีแรงผลักดันจากการพัฒนานิคมฯ สู่ "นิคมอัจฉริยะ" (Smart Industrial Estate) และ "นิคมสีเขียว" (Green Industrial Estate) เพื่อตอบรับกระแส ESG และนั่นทำให้ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มมาชน) (AMATA) และบริษัท ดับบลิวเอซเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ถูกคาดหมายว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ จนทำให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ผลดำเนินงานQ1โดดเด่น
สำหรับ AMATA มีผลดำเนินงานไตรมาส 1/68 รายได้รวม 3,390.13 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 829.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.53% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (Q1/67) ที่มีกำไรสุทธิ 464.47 ล้านบาท เป็นผลมาจากการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในประเทศ (ชลบุรีและระยอง) และเวียดนาม รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น
ส่วน WHA ไตรมาส 1/68:มีรายได้รวม 4,801.57 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 2,075.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.06% จากไตรมาส1/67 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,364.91 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะยอดขายและโอนที่ดินที่สูงถึง 843 ไร่ รวมถึงรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์และสาธารณูปโภคที่เติบโตต่อเนื่อง และการขายทรัพย์สินให้กอง WHART
นั่นทำให้ ทั้ง AMATA และ WHA มีผลประกอบการในไตรมาส 1/68 ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ดีและปริมาณการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในระยะข้างหน้า
ราคาหุ้นกลับสวนทาง
อย่างไรก็ตามแม้ผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 ของทั้ง AMATA และ WHA จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาปิดปลายปี 2567 ซึ่งอาจเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การรับรู้ข่าวดีไปแล้ว การปรับฐานของตลาดโดยรวม หรือความกังวลต่อปัจจัยภายนอก
เริ่มที่ AMATA ราคาล่าสุด (6มิ.ย.) มีราคาปิดที่ระดับ 14.00 บาท/หุ้น ลดลง 50% จากราคาปิด ณ สิ้นปี 2567 ที่ระดับ 28.00 บาท/หุ้น ขณะที่ WHA ราคาปิด ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 5.50 บาท/หุ้น และจากราคาล่าสุด (6 มิ.ย.) ที่ระดับ 3.08 บาท/หุ้น ลดลง 44%
การที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมากสวนทางกับผลประกอบการที่เติบโต สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดต่อปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าโลก (Trump Tariffs 2.0) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของลูกค้า และนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของราคานี้ อาจถูกมองว่าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นในพื้นฐานที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท
จ่ายปันผลต่อเนื่อง
ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมักจะเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอและค่อนข้างดี เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการโอนที่ดินและรายได้ค่าเช่า/บริการ อย่างไรก็ตาม อัตราการจ่ายเงินปันผลจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายการจ่ายเงินปันผลของแต่ละบริษัทในแต่ละปี
จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่า AMATA มีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) จะผันผวนไปตามราคาหุ้นและผลประกอบการในแต่ละปี แต่ในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง อาจทำให้อัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาตลาด (Dividend Yield) ดูน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับ WHA พบว่ามีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีเช่นกัน และมักมีการจ่ายเงินปันผลจากทั้งกำไรปกติและกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ WHA มีกระแสเงินสดกลับมาลงทุนและจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง
แผนธุรกิจระยะยาวชัดเจน
นอกจากนี้พบว่า ทั้ง AMATA และ WHA ได้วางแผนงานและกลยุทธ์สำหรับปี 2568 และในระยะยาวอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน การขยายธุรกิจ และการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เริ่มที่ AMATA ตั้งเป้าหมายยอดขายและโอนที่ดินในปี 2568 ที่ 3,500 ไร่ และคาดการณ์ยอดโอนที่ดินที่ 1,600 ไร่ จาก Backlog ที่สูงถึง 21,000 ล้านบาท โดยเน้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) มุ่งเน้นการดึงดูดนักลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB), ดิจิทัล (Data Center และ Cloud Region), และอาหารแห่งอนาคต
ขณะเดียวกัน AMATA ยังเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Smart City & Net Zero) โดยตั้งเป้าสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutral City) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 และพัฒนาสู่ Low Carbon City ภายในปี 2583 รวมถึงการลงทุนในพลังงานสะอาด (Solar Energy) และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน พร้อมกับยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง
นั่นทำให้ AMATA เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่มีประสบการณ์ยาวนานและมีชื่อเสียง อีกทั้งมี Backlog ยอดขายที่ดินรอโอนจำนวนมาก ซึ่งเป็นหลักประกันรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ด้วยนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC ถือเป็นทำเลทองสำหรับการลงทุน
สำหรับ WHA คาดการณ์รายได้และส่วนแบ่งกำไรรวมในปี 2568 จะเกิน 20,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมในระยะ 5 ปี แตะ 150,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทจัดสรรงบลงทุนในระยะ 5 ปี กว่า 119,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน: Extend Leadership (ขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน), Embrace Innovation and Technology (นำ AI และ IoT มาใช้สร้าง New S-Curve), Enhance the Prominence on Green and Sustainability (มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593), Build High Performance Organization (พัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง)
ด้วยการขยายธุรกิจโลจิสติกส์ โดยขยายพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Asset Under Management) เป็น 3,309,000 ตารางเมตร และพัฒนาพื้นที่ให้เช่าใหม่ 200,000 ตารางเมตร ขณะที่นิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,350 ไร่ (ไทยและเวียดนาม) เน้นอุตสาหกรรม EV, อิเล็กทรอนิกส์, และไฮเทค พร้อมขยายโครงการในเวียดนาม
ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ตั้งเป้ายอดขายและการจัดการน้ำรวม 173 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมเป็น 1,185 เมกะวัตต์ (55% เป็นพลังงานหมุนเวียน) และเสริมความแข็งแกร่งด้วย AI และ IoT เช่น โซลูชันการตรวจสอบด้วยโดรน พร้อมกับGreen Mobility: เพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าให้เช่าสะสมเป็นมากกว่า 1,700 คัน และพัฒนา Built-to-Suit EV ecosystem of Logistics
และจากโมเดลธุรกิจครบวงจร ทำให้ WHA มีธุรกิจที่หลากหลายครอบคลุมทั้งนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ สาธารณูปโภค และดิจิทัล นำไปสู่แหล่งรายได้ที่มั่นคงและกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้การขยายโครงการในเวียดนามเป็นปัจจัยบวกสำคัญในการดึงดูด FDI และสร้างการเติบโตในระยะยาว รวมถึงกลยุทธ์การขายทรัพย์สินเข้ากอง WHART ช่วยสร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนและรับรู้กำไร
ราคาหุ้นต่ำน่าลงทุน
จากภาพรวม ผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 ที่โดดเด่นของทั้ง AMATA และ WHA ที่แสดงถึงการเติบโตของกำไรอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปลายปี 2567 ทำให้เกิดมุมมอง “น่าลงทุน” สำหรับ AMATA และ WHA โดยมีปัจจจัยสนับสนุนจาก ผลประกอบการแข็งแกร่ง ซึ่งผลงานใน Q1/68 ตอกย้ำว่าธุรกิจหลักยังคงแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจาก FDI แสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศยังคงหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมเป้าหมายและการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก ทำให้ Valuation (มูลค่าหุ้น) ดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเทียบกับศักยภาพในอนาคต เห็นได้จาก P/E Ratio และ Valuation อื่นๆ ดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในอนาคต และเป็นเหตุผลให้นักวิเคราะห์หลายสำนักยังคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" หรือ "Outperform" พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่สูงกว่าราคาปัจจุบันมาก เนื่องจากบริษัทมี Backlog ยอดขายที่ดินรอโอนจำนวนมาก ซึ่งเป็นหลักประกันรายได้ในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลยังคงมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบ่งชี้ถึง Upside Potential ที่น่าสนใจ
สำหรับ "มีความเสี่ยง" ทางธุรกิจ หลายฝ่ายให้น้ำหนักไปที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก โดยเฉพาะ ประเด็นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (Trump Tariffs 2.0) เป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ทำให้นักลงทุนกังวล แม้บริษัทนิคมฯ อาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต แต่ก็มีความไม่แน่นอนว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนระยะสั้นต่อนักลงทุนต่างชาติ
เช่นเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุนโดยรวม อีกทั้งการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง อาจเพิ่มต้นทุนทางการเงินของบริษัท และการแข่งขันในภูมิภาค โดยเฉพาะการแข่งขันดึงดูด FDI จากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ภาพรวมหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากกระแส FDI และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าโลก เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการลงทุนในระดับราคาที่ปรับตัวลงมามากอาจเป็น "โอกาส" ที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุน แต่ก็ต้องพร้อมรับความผันผวนในระยะสั้น
Q2 ยังเติบโตต่อเนื่อง
สำหร้บ ที่ทิศทางในไตรมาส2/68 และไตรมาส3/68 สำหรับ AMATA ยังคงเป้ายอดขายที่ดินปี 2568 ที่ 3,000 ไร่ (บางบทวิเคราะห์คาดการณ์สูงถึง 3,500 ไร่) โดยเฉพาะในไตรมาส 2/68 คาดยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีข่าวดีจากศาลสหรัฐฯ เบรกภาษีของ "ทรัมป์" ซึ่งอาจส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน
ส่วนยอดโอนที่ดิน (Land Transfer) พบว่ากำไรในไตรมาส 1/68 ของ AMATA ออกมาดีเกินคาด โดยมีปัจจัยหนุนจากการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากที่ดินที่โอน ทั้งนี้ บริษัทมี Backlog ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะสนับสนุนยอดโอนที่ดินในปีนี้และปีหน้า คาดว่าประมาณ 50% ของ Backlog ในไทยจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2568
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) แม้ว่ายอดขายในไตรมาส 1/68 จะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก GPM ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากการปรับขึ้นราคาขายที่ดินในประเทศไทย 10% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 และแผนการนำธุรกิจสาธารณูปโภคเข้าตลาดหลักทรัพย์
ทำให้แนวโน้มผลดำเนินงานทั้งปี 2568 บทวิเคราะห์หลายแห่งยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ AMATA โดยคาดการณ์ว่ากำไรหลักจะเติบโตต่อเนื่อง (บางแห่งคาดเติบโตประมาณ 10-18% YoY) แม้จะมีการปรับประมาณการกำไรลงเล็กน้อยจากสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยและ GPM ส่วนเป้าหมายยอดขายที่ดิน โบรกเกอร์หลายรายตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินค่อนข้างระมัดระวังที่ 1,800-2,000 ไร่ ซึ่งอาจชะลอตัวจากปี 2567 ที่ทำได้ 3,018 ไร่
ส่วน WHA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินปี 2568 ที่ 2,350 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศ 1,700 ไร่ และเวียดนาม 650 ไร่ โดยยอดขายที่ดินในไตรมาส 1/68 ทำได้ดีที่ 876 ไร่ และมี LOI (หนังสือแสดงเจตจำนง) อีก 1,311 ไร่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดโอนที่ดินในไตรมาสถัดๆ ไป
มีรายงานว่า WHA กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 2 รายที่ต้องการซื้อที่ดินขนาด 400-600 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2/68 หรือ 3/68 หากดีลดังกล่าวสำเร็จ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค พบว่า ยังคงมีการขยายตัว และธุรกิจน้ำ (Utilities) ก็เติบโตต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายการขายและบริหารจัดการน้ำรวม 173 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2568
ด้านการขายสินทรัพย์เข้า REIT:นั้นมีแผนจะเข้าซื้อสินทรัพย์จากบริษัทฯ ประมาณ 70,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและรับรู้กำไร นำไปสู่แนวโน้มผลดำเนินงานทั้งปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง ทำให้บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า WHA จะมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 2568 โดยมีแรงหนุนหลักจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งในไทยและเวียดนาม นำไปสู่ตั้งเป้าหมายรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจรวมกว่า 20,000 ล้านบาท และรักษาระดับ EBITDA Margin ให้สูงกว่า 45%
สำหรับแผนการลงทุน พบว่าบริษัทมีการวางแผนงบลงทุนรวมกว่า 119,000 ล้านบาทสำหรับแผน 5 ปี (2568-2572) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระยะยาว
ดังนั้น โดยรวมทั้ง AMATA และ WHA ต่างมีแนวโน้มที่ดีในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม การย้ายฐานการผลิต และ Backlog ที่แข็งแกร่งของที่ดินรอการโอน ทำให้ถือเป็นอีกกลุ่มหุ้นน่าลงทุนในเวลานี้ โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว