xs
xsm
sm
md
lg

ไบแนนซ์ กวาดเงินฝาก Stablecoin ทะลุ 180,000 ล้านดอลลาร์ ดันตลาดคริปโตสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในปี 2568 ไบแนนซ์ ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคริปโตด้วยการดึงดูดเงินฝาก Stablecoin มูลค่ากว่า 180,000 ล้านดอลลาร์ ดันส่วนแบ่งตลาดทะลุ 59% พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก ขณะที่การเคลื่อนไหวของวาฬคริปโตส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาด
ไบแนนซ์ (Binance) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับหนึ่งของโลก ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2568 บริษัทสามารถดึงดูดเงินฝาก Stablecoin อย่าง USDT และ USDC รวมมูลค่ากว่า 180,000 ล้านดอลลาร์ โดยในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว มีเงินไหลเข้าสู่แพลตฟอร์มถึง 31000 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Coinbase ที่มีเงินฝาก 30000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน

ข้อมูลจาก CryptoQuant ระบุว่า Binance ถือครอง Stablecoin คิดเป็น 59% ของตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในบรรดาแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตทั้งหมด ขณะที่ Coinbase และ Binance รวมกันถือครองสินทรัพย์คริปโตถึง 60% ของตลาด โดย Binance มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 110,000 ล้านดอลลาร์ รองจาก Coinbase ที่มี 129 ล้านดอลลาร์

โดยปริมาณยอดเงิน Stablecoin ที่เพิ่มขึ้นมาจากความน่าเชื่อถือของ Binance นอกจากนี้ยังได้รับการเสริมด้วยการเปิดเผยข้อมูล Proof-of-Reserves แบบ on-chain ซึ่งแตกต่างจาก Coinbase ที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในระดับเดียวกัน

นอกจากนี้ Binance ยังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนรายใหญ่ โดยในวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ Bitcoin ทำสถิติราคาสูงสุดที่ 112,000 ดอลล่าร์ต่อเหรียญ Binance มีค่าเฉลี่ยการฝาก Bitcoin ต่อครั้งสูงถึง 7 BTC ขณะที่ Bitfinex มีค่าเฉลี่ย 5 BTC และแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง OKX, Kraken และ Coinbase มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่ามาก

อย่างไรก็ดีการเติบโตของ Stablecoin ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแพลตฟอร์มซื้อขายเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การใช้งานในระบบการชำระเงินทั่วโลก โดยระหว่างเดือนมกราคม 2566 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 มีธุรกรรม Stablecoin รวมมูลค่าถึง 94200 ล้านดอลล่าร์ โดย Tron เป็นเครือข่ายที่มีการใช้มากที่สุด คิดเป็น 60% ของปริมาณธุรกรรมทั้งหมด

การเคลื่อนไหวของวาฬคริปโตที่นำ Stablecoin เข้าสู่ Binance ในปริมาณมาก บ่งชี้ถึงความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดและความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดคริปโตในอนาคตอันใกล้