ปัญหาโปรแกรมการซื้อขายหรือ ROBOT TRADE และคำสั่งซื้อขายความถี่สูงหรือ HFT กลับมาเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง ในฐานะวายร้ายที่กำลังซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นพังพินาศ
และไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนรายย่อย สุดท้ายจะตายเรียบ สูญพันธุ์จากตลาดหุ้น
2-3 ปีแล้วที่ปัญหา ROBOT TRADE เป็นประเด็นที่ปลุกให้นักลงทุนทั้งตลาดหุ้น ลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน เรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยกเลิก
เพราะเป็นอีกหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้หุ้นทรุดตัวลงต่อเนื่อง และเป็นระบบการซื้อขายที่เอาเปรียบนักลงทุนในประเทศ ทั้งต้นทุนค่านายหน้าซื้อขายที่ต่ำกว่า สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะ HFT และระบบถูกคิดค้นกำหนดให้ทำกำไรได้ตลอดเวลาในทุกช่วงการขึ้นลงของราคาหุ้น
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนกรานมาตลอด ไม่อาจยกเลิกการซื้อขายของ ROBOT ได้ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ กระทบต่อมูลค่าการซื้อขายที่ตกต่ำลง และตลาดหุ้นไทยจะขาดมาตรฐานความเป็นสากล
แต่ทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักในผลกระทบของ ROBOT TRADE และ HFT เพราะได้ออกมาตรการควบคุมการซื้อขายอย่างเข็มงวดมาตลอด เพียงแต่ไม่กล้าตัดสินใจยกเลิกมหาวายร้ายที่บุกเข้ามาโจมตีตลาดหุ้นไทยจนโงหัวไม่ขึ้นมาประมาณ 7 ปีเท่านั้น
ปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติ ขึ้นมาครองสัดส่วนการซื้อขายหุ้นสูงสุด โดยมีสัดส่วนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 53% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนมูลค่าซื้อขายผ่าน ROBOT มีประมาณ 40% เศษ
ROBOT TRADE เป็นเปรียบเสมือนจักรกลที่ไร้จิตวิญญาณ ถูกออกแบบมาเพื่อทำกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นเป็นรายวัน โดยอาศัยการประมวลผลของคำสั่งซื้อขายหุ้นรายตัวได้รวดเร็ว ส่งคำสั่งซื้อขายได้รวดเร็ว ทำกำไรได้แม้แต่หุ้นขึ้นหรือลงเพียง 1 ช่วงราคา เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
การจับเสือมือเปล่า หรือการขายโดยไม่มีใบหุ้นอยู่ในมือ หรือ NAKED SHORT นักลงทุนต่างชาติเท่านั้นที่มีสิทธิทำได้ และทำรายการผ่าน ROBOT ซึ่ง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ยังไม่อาจพิสูจน์ทราบหรือตรวจสอบถึงความมีอยู่จริงของใบหุ้น ที่นักลงทุนต่างชาติอ้างว่าขอยืมมาแล้วจากคัสโตเดียนหรือผู้ดูแลรับฝากหุ้นได้
มูลค่าซื้อขายหุ้น ในปี 2564 เคยสร้างสถิติสูงสุดตลอดการ เฉลี่ยวันละประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท แต่ช่วงนี้ มูลค่าการซื้อขายหุ้นทรุดฮวบลงมาเหลือวันละประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท และบางวันเหลือเพียง 2 หมื่นล้านบาทเศษ
บริษัทโบรกเกอร์รวม 39 แห่งกำลังล้มตาย หลายแห่งต้องปลดพนักงาน เพื่อความอยู่รอด เพราะมูลค่าการซื้อขายระดับ3หมื่นล้านบาทต่อวัน บริษัทโบรกเกอร์กว่าครึ่งต้องแบกรับผลขาดทุน เพราะรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหุ้นไม่เพียงพอต่อความอยู่รอด
แม้จะยังดำรงคงอยู่ของ ROBOT TRADE แต่มูลค่าการซื้อขายหุ้นหดหายลงไปเรื่อยๆ โดยนักลงทุนต่างชาติที่ใช้ ROBOT TRADE เป็นเครื่องมือ ยังคงโกยกำไรต่อไป จากกลยุทธ์การเล่นหุ้นขาลง
ทุบขายหุ้น เมื่อราคาลงลึก จึงซื้อคืน กินส่วนต่างไปเรื่อย ๆ ROBOT จึงอยู่ได้ แต่นักลงทุนขาใหญ่ เจ้ามือหรือเจ้าของหุ้น และนักลงทุนรายย่อยทยอยกันล้มตาย จนต้องถอยห่างจากตลาดหุ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าซื้อขายหล่นวูบ เป็นชนวนเหตุให้ตลาดหุ้นเงียบดั่งป่าช้า
นักลงทุนต่างชาติที่ใช้ ROBOT เป็นเครื่องมือทำมาหากินในตลาดหุ้นไทย ไม่สนใจว่า ตลาดหุ้นไทยจะพังหรือไม่ นักลงทุนในประเทศจะเจ๊งหุ้นจนหมดตัวหรือไม่ แต่ตราบที่ยังโกยกำไรได้ ก็ยังทำมาหากินต่อไป
แต่ตลาดหุ้นไทยพังเมื่อไหร่ หรือถูกควบคุม ถูกยกเลิกการใช้ ROBOT ก็จะย้ายที่ทำกินใหม่ เสาะแสวงหาตลาดหุ้นที่ด้อยพัฒนา และระบบกำกับ ควบคุม ดูแลอ่อนแอ เปิดช่องให้ ROBOT เข้าไปรุกราญโจมตีนักลงทุนในประเทศได้ จะย้ายเครื่องจักรกลสังหารไปแหล่งที่ทำกินใหม่
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ จะต้องทบทวนแล้วว่า มูลค่าซื้อขายหุ้นระดับ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยมี ROBOT TRADE ช่วยประคองไว้ เมื่อเทียบกับหุ้นที่ซึมลงต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนในประเทศถูก ROBOT สูบกิน จนแทบจะสูญพันธุ์ คุ้มกันหรือไม่ที่จะปล่อยให้ ROBOT และ HFT ดำรงคงอยู่ต่อไป
ถ้าระงับหรือยกเลิก ROBOT TRADE และห้ามคำสั่งซื้อขายความถี่สูง ซึ่งมูลค่าการซื้อขาย อาจลดหายไป 40% จากวันละประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เหลือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทเพียงชั่วคราว แต่หุ้นลดความผันผวนลง และเริ่มกระเตื้องขึ้น
คุ้มหรือไม่กับการตัดมหาวายร้ายที่บ่อนทำลายตลาดหุ้นไทยมาตลอด 7 ปี
ถ้าไม่มี ROBOT TRADE ที่เล่นหุ้นเอาเปรียบนักลงทุนในประเทศ หรือบ่อยครั้งที่เล่นขี้โกง นักลงทุนทั้งขาใหญ่ขาเล็ก คงทยอยกลับเข้าตลาดหุ้น มูลค่าการซื้อขายคงขยับปรับตัวขึ้น โดยไม่ต้องพึงส่วนบุญของ ROBOT ต่อไป
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ เคยมองในมุมกลับบ้างไหม เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ถ้าไม่มี ROBOT TRADE ตลาดหุ้นไทยคงไม่พังพินาศถึงขนาดนี้