นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(30พ.ค.68)ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.71 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.75 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.78 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ทว่า เงินบาทก็ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดเลือกจะเดินหน้าเทขายเงินดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังล่าสุดศาลอุทธรณ์ ได้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ที่ได้ระงับการใช้มาตรการภาษีนำเข้าก่อนหน้า เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้มาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump 2.0 ยังคงมีผลบังคับใช้ พร้อมกันนี้ศาลอุทธรณ์ยังได้ให้เวลาฝ่ายโจทก์และฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งดังกล่าวภายในวันที่ 5 มิถุนายน และ 9 มิถุนายน ตามลำดับ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดได้เพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 100% จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70% และนอกเหนือแรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้งของราคาทองคำ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 8.30 น. ของเช้าวันเสาร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน (Official Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง หลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ทว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังสามารถเลือกใช้กฎหมายบางมาตรา เพื่อเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า แม้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จะสวนทางกับการประเมินของเราในวันก่อนหน้า ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้เล่นในตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะ หากเห็นความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงอาจกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เพิ่มเติม ทำให้ ธีม Sell US Assets กลับมาอีกครั้ง และหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส แย่กว่าคาดด้วยเพิ่มเติม ก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงสินทรัพย์สหรัฐฯ ได้ไม่ยาก
อนึ่ง เรามองว่า แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจยังคงมีความต้องการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ ราคาทองคำก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงมาบ้าง และช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (ทั้งนี้ เราอยากจะขอย้ำว่า ราคาทองคำควรมองเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่ทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้น หรือ อ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน) ส่งผลให้โดยรวมเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจติดแถวโซนแนวรับ 3235 บาทต่อดอลลาร์ ได้ แม้เงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังติดแถว 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป หากเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง ก็จะอยู่แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์)