xs
xsm
sm
md
lg

ฟิทช์ปรับลดอันดับเครดิต HMC เป็น 'BBB(tha)'แนวโน้ม'เป็นลบ'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC เป็น ‘BBB(tha)’ จาก ‘BBB+(tha)’ แนวโน้มเครดิตยังคงเป็นลบ โดยการปรับลดอันดับเครดิต สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ HMC จะยังคงสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘BBB+(tha)’ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า(ปี 2568-2570) เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน (PP) ที่อ่อนแอ และการฟื้นตัวของตลาดที่คาดว่าจะซบเซา

ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่สูงนี้เกิดจากการฟื้นตัวของกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ เนื่องจากความท้าทายในธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน แนวโน้มเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงในฟื้นตัวของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ HMC ในช่วงสองปีข้างหน้า

ส่วนอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ HMC ที่ถูกปรับลดลงจาก ‘bbb(tha)’ เป็น ‘bbb-(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ HMC ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ที่อยู่ในระดับปานกลางจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ ‘a(tha)’) ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) โดย PTTGC เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ HMC โดยถือหุ้นร้อยละ 41

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของความต้องการที่ต่ำกว่าคาดอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตลงอีก ในขณะเดียวกัน สถานะเครดิตโดยลำพังของ HMC ได้รับการสนับสนุนจากสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งผ่านการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่และความสัมพันธ์ทางธนาคารที่แข็งแกร่ง โดยมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้ประมาณ 14 พันล้านบาทจนถึงอย่างน้อยเดือนธันวาคม 2568 ฟิทช์คาดว่าหนี้สินสุทธิจะลดลงตั้งแต่ปี 2569 และอัตราส่วน EBITDA net leverage จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.7 เท่าในปี 2570

ทั้งนี้ สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ: ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 8 ในปี 2568 (ปี 2567 ร้อยละ 8) และเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6-7 ต่อปี ในปี 2569-2570 เนื่องจากฟิทช์คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวในระดับที่สูงกว่า, ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนค่อนข้างคงที่ในปี 2568 แล้วค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2569-2570, เงินลงทุนรวม 3.2 พันล้านบาท ในปี 2568-2570, ขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อวัตถุดิบจาก PTTGC เป็น 90 วันในปี 2568-2571 จาก 30 วัน และไม่มีการจ่ายเงินปันผลจนกระทั่งปี 2571

อนึ่ง ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก:แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน EBITDA net leverage ของ HMC จะลดลงต่ำกว่า 5.3 เท่าภายในปี 2570 ในขณะที่แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC ยังเหมือนเดิม

ปัจจัยลบ: กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่ฟิทช์คาด จากการฟื้นตัวของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช้ากว่าที่คาด และ/หรือ การเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนที่ใช้หนี้เป็นแหล่งเงินทุน หรือการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น อันเป็นผลให้อัตราส่วน EBITDA net leverage สูงกว่า 5.3 เท่าอย่างต่อเนื่องเกินปี 2570 และแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC ที่ลดน้อยลง

ด้านสภาพคล่อง HMC มีหนี้สินอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 1 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 8 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวน 6 พันล้านบาท โดยหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 4 พันล้านบาท (รวมเงินกู้ระยะสั้น) และกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะติดลบในปี 2568 จะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 281 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท HMC วางแผนที่จะจัดหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมที่มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้อีก 1.4 พันล้านบาทในปี 2568 คาดว่าจะชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 1.3 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น