นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(29พ.ค.68)ที่ระดับ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางแรงกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนบ้างจากแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ที่สะท้อนผ่านรายงานผลการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 74% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับลดสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มทยอยรีบาวด์สูงขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด อ่อนค่าเข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ยิ่งกดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับแถว 3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาทองคำดังกล่าวก็ยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้านี้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และข้อมูลตลาดบ้าน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนพฤษภาคม โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 80% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ โดย EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ พร้อมทั้งรอติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเริ่มมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง ในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ทว่า เงินดอลลาร์จะสามารถคงโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้หรือไม่นั้น จำเป็นจะต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใสและโดดเด่นกว่าบรรดาประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ก็ควรทยอยลดลง เพื่อทำให้ธีม Sell US Assets ค่อยๆ ลดลงไปในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากฤดูกาลจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติใกล้จบแล้ว นอกจากนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่อาจทำให้เงินบาทสามารถเคลื่อนไหวแข็งค่า หรือ อ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางราคาทองคำ แม้ว่าการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ยังมีอีกบ้าง จนกว่าจะถึงโซนแนวรับสำคัญแถว 3,225-3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเพิ่มเติม ทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก แต่ทว่า หากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น เช่นในช่วงก่อนหน้า ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือ ช่วยหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้