xs
xsm
sm
md
lg

CPALL แกร่งสวนมรสุม ศก. ฐานเงินแน่นคุมหนี้ดีหนุนสภาพคล่อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ซีพี ออลล์" ยังแข็งแกร่งแม้เผชิญกำลังซื้อซบเซา ด้วยเครือข่าย 7-Eleven และ Synergy จาก Makro/Lotus's ที่ช่วยหนุนการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นการบริหารจัดการหนี้สินที่ดีและการขยายสาขาในอนาคต ทำให้น่าสนใจสำหรับลงทุนระยะยาว แม้ราคาหุ้นอ่อนตัวแต่ยังคงมี upside

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำภาคค้าปลีกไทย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) ยังคงเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด แม้ตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมีนัยสำคัญถึง 14.35% ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการปรับฐานของตลาดโดยรวม ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงท้าทาย รวมถึงปัจจัยเฉพาะของบริษัทที่นักลงทุนบางรายอาจกังวล เช่น ภาระหนี้สินจากการเข้าซื้อกิจการ หรือแนวโน้มการบริโภคที่ยังไม่สดใสเท่าที่คาดการณ์ไว้

แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร CPALL ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยเฉพาะใน ฐานะผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ แม้ล่าสุดบริษัทจะกำลังเดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 7,500 ล้านบาท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของนักลงทุนในระยะสั้น แต่ภาพรวมของ CPALL ยังคงมีแนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว 

เผชิญหน้ากำลังซื้อที่ถูกกดดัน

ต้องยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่เผชิญกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อ CPALL โดยตรง ทั้งในแง่ของยอดขายต่อสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth – SSSG) และอัตราการเติบโตของกำไร อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณลักษณะของธุรกิจที่เป็น สินค้าจำเป็น ประกอบกับ เครือข่ายสาขาที่กว้างขวาง การ บริหารจัดการต้นทุนที่ดี และการได้รับอานิสงส์จากการ ฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้ CPALL ยังคงมีภูมิคุ้มกันและสามารถเติบโตได้ แม้ในสภาวะที่ท้าทายเช่นนี้

ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ผ่านมาของ CPALL ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการปรับตัวและรักษาการเติบโตของบริษัท โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 4.8% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 20.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานแม้จะเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจและสภาพอากาศที่ผันผวน 

ดังนั้น แม้การเติบโตอาจไม่หวือหวาเท่าช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู แต่ CPALL ยังคงเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีที่สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ โดยยังคงได้รับประโยชน์จากการขยายสาขา 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม และการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าต่อวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่มุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของ CPALL ในปี 2568

ระยะยาวโอกาสเติบโตสดใส

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ หลายปัจจัยกำลังสนับสนุนให้ผลประกอบการของ CPALL ยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ทำให้เกิดมุมมองเชิงบวกต่อนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนระยะยาว นั่นเพราะผลประกอบการไตรมาส 1/68 ที่ดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีกำไรหลักเติบโต 27.5% YoY และ 10.1% QoQ ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายที่เติบโตและการบริหารจัดการ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่ดีขึ้น ทั้งจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกภายใต้ CP AXTRA (Makro/Lotus's) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมต้นทุนที่ยอดเยี่ยม

การฟื้นตัวของการบริโภคและการท่องเที่ยว แม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อ CPALL โดยเฉพาะสาขา 7-Eleven ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่ได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยชดเชยกำลังซื้อในประเทศที่อาจจะยังไม่เต็มที่ 

แผนขยายสาขาต่อเนื่อง จากการที่ CPALL ยังคงมุ่งมั่นในกลยุทธ์การขยายสาขา 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 700 แห่งต่อปี ไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า หลายฝ่ายประเมินเรื่องดังกล่าววว่า จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้รวมอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสาขาในต่างประเทศ เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในระยะยาว

ที่ผ่านมา บริษัทแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง และการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง เช่น อาหารพร้อมทานและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนตัว ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรโดยรวมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 โครงการซื้อหุ้นคืน (Share Repurchase Program) จำนวน 150 ล้านหุ้น (มูลค่า 7.5 พันล้านบาท) ในช่วง 16 พฤษภาคม -14 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกจากบริษัท และจะช่วยหนุนราคาหุ้นได้ เนื่องจากเมื่อจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดลดลง จะช่วยเพิ่ม กำไรต่อหุ้น (EPS) ได้ในที่สุด


หนี้สินใหญ่แต่แข็งแกร่ง

หนึ่งในประเด็นที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามคือ ภาระหนี้สินที่ค่อนข้างสูง ของ CPALL ซึ่งเกิดจากการลงทุนและเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอดีต โดยเฉพาะการเข้าซื้อ Makro และ Lotus's (ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้บริษัทลูก CPAXT) ทำให้บริษัทมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ณ สิ้น 30 กันยายน 2567 CPALL มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยรวมประมาณ 318,290 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และหนี้สินตามสัญญาเช่า (จากมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS16) ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio - D/E Ratio) อยู่ที่ระดับ 1.95 เท่าในปี 2567 ซึ่งลดลงจาก 2.07 เท่าในปีก่อนหน้า และลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 1.85 เท่า ในไตรมาส 1/68

อย่างไรก็ตาม แม้ขนาดหนี้จะสูง แต่ CPALL เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มี กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการหนี้ ทำให้ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตของ CPALL ไว้ที่ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งเพียงพอในการชำระหนี้ตามงวด

อีกปัจจัยที่โดดเด่นทางการเงินของ CPALL คือการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งที่ผ่านมา CPALL สามารถควบคุมได้ดี โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 4% และมีอายุเฉลี่ยยาว ทำให้นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นในความสามารถในการชำระหนี้

นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีกของ CPALL ทั้ง 7-Eleven, Makro และ Lotus's สามารถสร้าง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ดีมากและสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้ได้ อีกทั้งผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้น ซึ่งไปเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น สะท้อนว่าบริษัทมีเสถียรภาพ และสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดี

ดังนั้น แม้ CPALL จะมีหนี้สินขนาดใหญ่จากการเข้าซื้อกิจการ แต่การที่ D/E Ratio มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้และการฟื้นตัวของธุรกิจได้เป็นอย่างดี

โครงสร้างรายได้และการเติบโต

จากข้อมูลพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่อ CPALL เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากบริษัทผนวกรวม Lotus's เข้ามาภายใต้ CPAXT ทำให้โครงสร้างรายได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เริ่มที่สัดส่วนรายได้ที่สมดุลขึ้น โดยปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ประมาณ 45-55% และธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก (Makro & Lotus's) ประมาณ 45-55%

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งสองธุรกิจหลักยังคงมีการเติบโต การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วยหนุนทั้งสองส่วน แต่ 7-Eleven มีการเติบโตของ SSSG ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในช่วงหลัง (SSSG ไตรมาส 1 ปี 2568 ของ 7-Eleven ที่ +3.0% เทียบกับ CPAXT ที่ +2.9%) ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนของ 7-Eleven มีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอนาคต 

นอกจากนี้การกระจายสัดส่วนรายได้นี้ช่วยให้ CPALL มีความหลากหลายทางธุรกิจมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว

ขณะเดียวกัน การขยายสาขาใหม่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ CPALL และ CPAXT (Makro & Lotus's) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ในระยะยาว โดย CPALL มีแผนที่จะคงอัตราการเปิดสาขา 7-Eleven ใหม่ที่ประมาณ 700 สาขาต่อปี ต่อไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า (รวมถึงปี 2568 และ 2569) นอกจากนี้ CPALL ยังมีแผนที่จะขยายสาขาในต่างประเทศด้วย

ขณะที่ CPAXT วางงบประมาณการลงทุน (CapEx) ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขา รวมกันกว่า 200 สาขา ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยเน้นการปรับปรุงและเปิดโมเดลใหม่ๆ

ดังนั้น สิ่งที่จะได้เห็นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า สำหรับ CPALL คือจำนวนสาขาโดยรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้รวมของ CPALL และ CPAXT โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับการฟื้นตัวของ SSSG ทำให้บริษัทจะยังคงมีการเติบโตที่ "ต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ" ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดและสร้างการเติบโตในระยะยาว 

 โอกาสในการเข้าสะสม

โดยรวมแล้ว ราคาหุ้น CPALL มีโอกาสที่จะ "ปรับตัวขึ้น" ในช่วง 1 ปีข้างหน้ามากกว่าที่จะลงไปอีกอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ฟื้นตัว การขยายสาขา และโครงการซื้อหุ้นคืน ดังนั้นจึงมีนักลงทุนหลายรายมองว่าเมื่อราคาหุ้นยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บาท/หุ้น เช่นนี้ ถือเป็น "โอกาสในการเข้าสะสม" ที่ดีเยี่ยมสำหรับนักลงทุนระยะยาว

มีการประเมินว่าในเวลา 1 ปีจากนี้ ราคาหุ้น CPALL มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยกำไรหลักที่เติบโต 27.5% YoY และ 10.1% QoQ ซึ่งเป็นผลจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ CP AXTRA 

นั่นจึงทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันของบริษัทที่บริเวณ 47.75 บาท มีความน่าสนใจ จาก P/E Ratio 16.12 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า "น่าสนใจ" หรือ "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต" เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์ไว้ข้างหน้า ซึ่งนำไปสู่ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของหุ้นที่บริเวณ 65-79 บาท บ่งชี้ถึง Upside Potential ที่สูงถึงประมาณ 25% จากราคาปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่ากำไรจะยังคงเติบโต 11% YoY ในปี 2568 แต่ก็มีปัจจัยท้าทายจากกำลังซื้อที่อาจจะยังไม่ฟื้นเต็มที่ และการแข่งขันในตลาด อาจมีการปรับฐานในไตรมาส 3/68 ซึ่งมักเป็นช่วงที่ผลประกอบการของธุรกิจค้าปลีกไม่ได้พีคเท่าไตรมาส 4 และไตรมาส 1

ดังนั้น หากราคาอ่อนตัวลงมาในช่วงไตรมาส 3 โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปในทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ก็ยังคงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมเพื่อรอรับผลประกอบการไตรมาส 4 ที่มักจะโดดเด่นกว่า และโอกาสจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (เช่น Easy E-receipt) ในช่วงปลายปี/ต้นปีถัดไป เข้ามาช่วยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทเพิ่มเติม

น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว

ทำให้ CPALL ยังคงเป็นบริษัทค้าปลีกชั้นนำที่มีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่ยังดี รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สินที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ CPALL มีทิศทางที่ดีขึ้นในด้านผลประกอบการและความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินใน 2-3 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน

ภายใต้เงื่อนไขหากเครือซีพีไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้นและดึง CPALL เข้าไปร่วมลงทุนโดยตรงจาก CP Group แล้ว เชื่อว่าบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นในด้านผลประกอบการและความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินใน 2-3 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งยิ่งทำให้ CPALL ดูน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น