นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(22พ.ค.68)ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.55-32.85 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.65-32.84 บาทต่อดอลลาร์) ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ดังจะเห็นได้จาก แรงขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล คล้ายกับช่วงตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังเผชิญการประกาศภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงก่อนหน้า โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับบรรดาบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของประเทศเศรษฐกิจหลัก กลับไม่ได้ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ โดยผู้เล่นในตลาดต่างยังคงต้องการถือทองคำอยู่ในช่วงนี้ ท่ามกลางความกังวลต่อประเด็นเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกัน การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด อาทิ การปรับลดสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่า) หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งอาจสะท้อนผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยรายงานดังกล่าวจะเริ่มจากฝั่งยูโรโซน ในช่วงราว 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ต่อด้วยรายงานดัชนี PMI จากฝั่งอังกฤษในช่วง 15.30 น. และรายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ในช่วง 20.45 น.
นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ข้อมูลตลาดบ้าน เป็นต้น
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันศุกร์ 23 พฤษภาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps ในปีนี้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ความคืบหน้าของการร่าง “Fiscal Bill” ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรครีพับลิกัน การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่อาจแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนการแข็งค่าสุดของปี 2025 นี้ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดต่างมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ออกมา ส่งผลให้เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ความกังวลดังกล่าวก็ยิ่งหนุนความต้องการถือครองทองคำ รวมถึงเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ จนกว่า ประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ จะทยอยคลี่คลายลง ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ เมื่อตลาดรับรู้ความชัดเจนของ “Fiscal Bill” ที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรครีพับลิกัน กำลังร่างและพยายามผลักดันให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ อยู่ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของประเด็นดังกล่าว ก่อนวันหยุด Memorial Day 26 พฤษภาคม นี้
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ อาจยังพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงนี้ ออกมาดีกว่าคาดและไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชัดเจน ทำให้อย่างน้อยเงินดอลลาร์จะยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และความกังวลต่อความเสี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความเสี่ยงการเกิด Stagflation (เศรษฐกิจชะลอลงหนัก แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ที่ทยอยลดลงบ้าง นอกจากนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้แนวโน้มราคาทองคำควรเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน
ทั้งนี้ หากเงินบาทไม่ได้แข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน เราประเมินว่า อาจเริ่มผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ได้ ทว่า เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทจะสามารถกลับมาทยอยอ่อนค่าลงได้ชัดเจน หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following