xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.88- ดอลลาร์พลิกอ่อนค่ากังวลฐานะการคลังสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(21พ.ค.68)ที่ระดับ 32.88 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.07 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.75-33.00 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ทะลุโซนแนวรับสำคัญ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.85-33.09 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรครีพับลิกันกำลังเตรียมร่าง “Fiscal Bill” ใหม่ ซึ่งอาจรวมนโยบายลดหย่อนภาษี (ขยายเวลา Tax Cuts and Jobs Act) โดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน รวมถึงความเสี่ยงที่อิสราเอลอาจโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านจากรายงานข่าวของ CNN และความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นราคาทองคำ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนเมษายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด ซึ่งอาจส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตของ ECB ได้

ส่วนในฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 5.50% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงรับมือผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมจับตาความคืบหน้าของการร่าง “Fiscal Bill” ของพรรครีพับลิกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะติดตามการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น เหนือความคาดหมายไปพอสมควร โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงเป็นการปรับตัวขึ้นแรงราว +2% ของราคาทองคำ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นไม่ได้อ่อนค่าลงไปมาก (ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY ย่อตัวลงราว -0.3%) ซึ่งเรามองว่า ประเด็นความเสี่ยงดังกล่าวที่หนุนราคาทองคำในช่วงนี้นั้น จะยังคงอยู่ อย่างน้อยภายในช่วง 1 สัปดาห์นี้ ทำให้ราคาทองคำอาจยังมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง และในเชิงเทคนิคัล ราคาทองคำ (XAUUSD) ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,325-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ซึ่งหากประเมินจากความอ่อนไหว (Sensitivity, Beta) ของเงินบาทกับราคาทองคำ ราว 0.3-0.5 อาจพอประเมินได้ว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ โดยเฉพาะในช่วงโซน 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจเห็นผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ได้ หากเงินบาทไม่ได้สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับดังกล่าวได้ชัดเจน นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ในช่วงนี้
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้แนวโน้มราคาทองคำควรเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น