ขณะที่ยอดขายคริปโตในตลาดมืดทั่วโลกดิ่งลง แต่ “Kraken” ตลาดดาร์กเน็ตสัญชาติรัสเซียกลับสวนกระแส พุ่งแรงเกินต้าน 68% ขึ้นแท่นแชมป์แห่งโลกใต้ดิน ประกาศชัยเหนือ Mega เจ้าเก่า สะท้อนการปรับตัวอันแยบยลของอาชญากรไซเบอร์ท่ามกลางความพยายามปราบปรามที่ยังไร้ผล ส่วน DeFi กลายเป็นเครื่องมือใหม่ของเหล่าผู้ค้าเงา
แม้ภาพรวมของตลาดดาร์กเน็ตทั่วโลกจะถดถอย แต่ในปี 2567 “Kraken” ศูนย์ซื้อขายคริปโตสัญชาติรัสเซีย กลับกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง สร้างยอดขายคริปโตพุ่งทะลุ 68% สวนทางกับกระแสโลกที่กำลังดิ่งลงอย่างหนัก
บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Chainalysis รายงานว่า ยอดขายสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดดาร์กเน็ตทั่วโลกโดยรวมลดลง 15% ในปี 2567 แต่รายได้รวมยังแตะระดับกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะร้านค้าเถื่อนที่จำหน่ายสินค้าเถื่อนหรือปลอมแปลง ยังคงโกยเงินเข้ากระเป๋าราว 225 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ตลาด “Kraken” กลับตบหน้ากระแสโลกด้วยยอดขายที่ทะยานขึ้นแรงถึง 68% แซงหน้า “Mega” ขึ้นแท่นตลาดมืดอันดับหนึ่งในรัสเซีย และครองตำแหน่งตลาดที่ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2567 แม้ Mega จะทรุดตัวลงกว่า 50%
ภายในสิ้นปี 2567 ตลาด “Kraken” กวาดรายได้จากการขายคริปโตสูงถึง 737 ล้านดอลลาร์ ขณะที่คู่แข่งอย่าง Blacksprut ที่เคยได้รับความนิยมควบคู่ Mega กลับรายได้ลดฮวบ 13.6% สะท้อนการเปลี่ยนขั้วอำนาจในโลกมืดอย่างชัดเจน
เบื้องหลังความพุ่งแรงของ “Kraken” คือการพัฒนาเชิงโครงสร้างของตลาดมืดในรัสเซีย ผู้ค้าใต้ดินเริ่มรวมตัวประสานงานกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยหันไปใช้บริการแพลตฟอร์มแบบครบวงจร เช่น iKlad.biz และ Klad.cc ที่ดูแลตั้งแต่ระบบโฮสต์ การชำระเงิน ไปจนถึงการขนส่ง
แม้รัฐบาลรัสเซียจะพยายามปราบปรามอย่างหนัก โดยเฉพาะหลังการล่มสลายของ “Hydra” ตลาดมืดชื่อดังในปี 2565 ซึ่งนำไปสู่การจำคุกตลอดชีวิตของ Stanislav Moiseyev ผู้ก่อตั้ง และลูกทีมอีก 15 ราย แต่พันธมิตรเดิมกลับลุกขึ้นใหม่ภายใต้แบรนด์ “Kraken” พร้อมระบบนิเวศเงาที่แกร่งกว่าเดิม
ในอีกซีกโลก สหรัฐฯ ก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม Rui-Siang Lin ชาวไต้หวัน ผู้บริหาร “Incognito Market” ที่หายตัวไปหลังหลอกลวงครั้งใหญ่ในเดือนมีนาคม 2567 โดย Lin ถูกตั้งข้อหาหนักทั้งอาชญากรรมไซเบอร์และการฟอกเงินผ่านบัญชีแลกเปลี่ยนคริปโตในชื่อของเขาเอง
ขณะที่บิทคอยน์ ซึ่งเคยเป็นเหรียญยอดนิยมในตลาดดาร์กเน็ต ก็เริ่มถูกลดบทบาท เพราะความสามารถในการติดตามของเจ้าหน้าที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าอาชญากรจึงเริ่มแห่กันไปใช้ Monero ซึ่งเป็นเหรียญเน้นความเป็นส่วนตัวแบบสุดขั้ว โดยซ่อนข้อมูลการทำธุรกรรมอย่างแนบเนียน แม้ Chainalysis จะยอมรับว่า Monero นั้นอยู่นอกขอบเขตรายงานของตนก็ตาม
เท่านั้นยังไม่พอปี 2567 ยังเห็นพัฒนาการที่อันตรายยิ่งขึ้น เมื่อผู้ค้าตลาดมืดเริ่มหันหลังให้กับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (CEX) และเลือกใช้แพลตฟอร์มการเงินกระจายอำนาจ (DeFi) เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบตัวตน (KYC) และกฎระเบียบแบบเดิม ๆ
นอกจากนี้ DeFi ยังกลายเป็นช่องทางใหม่ที่เปิดประตูสู่ความเป็นนิรนามอย่างแท้จริง ผู้ค้าส่งสามารถเคลื่อนย้ายรายได้ไปยังแพลตฟอร์ม DeFi และเก็บเหรียญไว้ในกระเป๋าส่วนตัวอย่างง่ายดาย การใช้ CEX แม้ยังมีอยู่ แต่บทบาทกำลังลดลงเรื่อย ๆ ท่ามกลางแรงจูงใจอันเร้าใจจากโลก DeFi
อย่างไรก็ดีแนวโน้มนี้ทำให้โครงสร้างการโอนเงินของตลาดมืดซับซ้อนและกระจัดกระจายมากขึ้น ยากแก่การติดตามจับกุม และเปิดศักราชใหม่ของ “สงครามเงา” ระหว่างอาชญากรไซเบอร์และเจ้าหน้าที่รัฐทั่วโลก
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การกำกับดูแลคริปโตอย่างเข้มข้น ตลาดมืดก็ยังเดินเกมเงียบ แต่รุกแรง ภายใต้เงามืดของบล็อกเชน
ดังนั้น Kraken จึงไม่ใช่แค่ชื่อของตลาดมืดแห่งใหม่ แต่มันคือสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพของอาณาจักรเงา ที่พร้อมท้าทายกฎระเบียบทุกระดับในศตวรรษที่ 21