อินฟลูเอนเซอร์สายคริปโตชื่อดังจากเอเชีย ออกโรงเตือนว่า การที่นักลงทุนรายย่อยขายบิทคอยน์ออกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ เข้าซื้ออย่างหนัก อาจทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ของกลุ่มสถาบันแทนที่จะเป็น "เงินของประชาชน" ตามเจตนารมณ์เดิม
ในช่วงเวลาที่ราคาบิทคอยน์พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อของสถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ ความกังวลในหมู่ผู้ที่ยึดมั่นในแนวคิดการกระจายอำนาจก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สกาย วี อินฟลูเอนเซอร์สายคริปโตชื่อดังจากเอเชีย ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 4 ล้านคนทั่วโลก และเป็นผู้นำทางความคิดในวงการ Web3 ได้ออกมาเตือนว่า การที่นักลงทุนรายย่อยขายบิทคอยน์ออกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ เข้าซื้ออย่างหนัก อาจทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ของชนชั้นสูง แทนที่จะเป็น "เงินของประชาชน" ตามเจตนารมณ์เดิม
โดยข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ River แสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 นักลงทุนรายย่อยได้ขายบิทคอยน์ออกไปถึง 525,000 BTC ขณะที่สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ เข้าซื้อเพิ่มอีก 831,000 BTC ทำให้การถือครองของนักลงทุนรายย่อยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สกายวี เน้นย้ำว่า "บิทคอยน์ไม่สนใจว่าใครจะเป็นเจ้าของ ตราบใดที่ประชาชนยังถือครองอยู่ มันก็ยังเป็น 'เงินของประชาชน' แต่ถ้ารายย่อยขายออกหมด แล้วปล่อยให้สถาบันการเงินถือครองแทน มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือของระบบที่บิทคอยน์ตั้งใจจะต่อต้าน"
ขณะที่ย้อนกลับไปที่ประวัติของสกาย วี เขาเริ่มต้นจากวงการอีสปอร์ต ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Sky Ventures ซึ่งได้ลงทุนในโครงการบล็อกเชนมากกว่า 50 โครงการ รวมถึง Manta Network และ Elfin Metaverse เขายังได้รับการยกย่องจาก Forbes ให้เป็นหนึ่งใน "30 Under 30 Blockchain Visionaries" ประจำปี 2568
แม้จะประสบความสำเร็จในวงการคริปโตแต่ สกาย วี ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมว่า "ผมเชื่อเสมอว่าต้องคืนอำนาจให้ประชาชน นั่นคือเหตุผลที่ผมย้ายจากวงการเกมมาอยู่ในวงการคริปโต มันเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ อัตลักษณ์ และข้อมูลของตัวเอง บิทคอยน์เริ่มต้นการสนทนานั้น และเราต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่หลุดจากเส้นทาง"
การเตือนของสกาย วี สะท้อนถึงความจำเป็นที่นักลงทุนรายย่อยต้องกลับมามีบทบาทในการถือครองบิทคอยน์ เพื่อรักษาอุดมการณ์ของการกระจายอำนาจและการเป็น "เงินของประชาชน" ไว้ให้ได้
