xs
xsm
sm
md
lg

คลังเปิดตัว "G-Token พันธบัตรดิจิทัลยุคใหม่" เปิดเกมการเงินรัฐผ่านบล็อกเชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลไทยเปิดตัว "G-Token" พันธบัตรดิจิทัลรูปแบบใหม่ มูลค่า 5,000 ล้านบาท หวังดึงดูดนักลงทุนรายย่อยด้วยการลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. โครงการนี้เป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการระดมทุนของภาครัฐครั้งแรกในโลก แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงและความพร้อมของระบบรองรับ

วานนี้ (13 พ.ค.68) คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการออก "G-Token" หรือ Government Token ซึ่งเป็นพันธบัตรดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการระดมทุนจากประชาชนโดยตรง โดยมีวงเงินเริ่มต้นที่ 5,000 ล้านบาท

โดย G-Token มีลักษณะคล้ายกับพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง แต่แตกต่างตรงที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและสามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) การลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ทำให้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในหนี้สาธารณะได้ง่ายขึ้น

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า G-Token จะช่วยให้รัฐบาลหาเงินได้สะดวกขึ้น และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนลงทุนในสิ่งที่ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดี แถมยังใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว

ความแตกต่างระหว่าง G-Token กับพันธบัตรรัฐบาลแบบเดิม

1.การรับประกัน : G-Token มีความปลอดภัยในการลงทุนเทียบเท่ากับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากเป็นการกู้เงินโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งได้รับการค้ำประกันโดยรัฐบาลไทย

2.การซื้อขาย : สามารถซื้อผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.

3.การลงทุนขั้นต่ำ : เริ่มต้นเพียง 1 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น

4.การซื้อขายในตลาดรอง : คาดว่าจะสามารถซื้อขายได้ในตลาดรองผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน

ข้อควรระวังในการลงทุน

อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรทำความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล : เนื่องจากแม้ G-Token จะมีความปลอดภัย แต่ผู้ลงทุนควรมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล

ขณะที่การลงทุนผ่านตลาดรอง : เนื่องจากในช่วงแรกอาจยังไม่มีตลาดรองที่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการขาย G-Token ก่อนครบกำหนด

ขณะที่อัตราการจ่ายผลตอบแทน : จะมีวิธีการจ่ายผลตอบแทนอาจแตกต่างจากพันธบัตรแบบเดิม และอาจมีความซับซ้อนในการดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล

ทั้งนี้แม้ G-Token จะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่น่าสนใจ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงและความพร้อมของระบบรองรับ โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแสดงความกังวลว่า การออก G-Token อาจไม่ใช่หน้าที่หลักของรัฐบาล และควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้พร้อมก่อน และอาจไม่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลดังที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ

"การเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้นจึงต้องชี้แจงก่อนว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบ G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้

นอกจากนี้ ยังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน" นายธีระชัย กล่าว

ส่วนกรณีที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น ก็ขอให้แจกแจงว่ามีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ และใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโดยมีค่าธรรมเนียมเท่าใด รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแล้วต่ำกว่า ธปท. อย่างไร ทั้งนี้ ขอแนะนำอย่าไปหมกมุ่นกับเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายแก่ ธปท. เพราะเป็นองค์กรของรัฐ เงินไม่รั่วไหลไปไหน

นายธีระชัยแนะนำว่าการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการก่อนหลายอย่าง กล่าวคือ

(1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง
(2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม
(3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น
(4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ
(5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส

อย่างไรก็ดีนายธีระชัยเห็นว่าการจะทำให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่ง และมีกฎหมายรองรับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดรวมไปถึงการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกัน โดยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ริเริ่ม ส่วนรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคน ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศที่ระบบการเงินล้ำหน้าใดที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนเอง

นอกจากนี้ นายธีระชัยมีความเห็นว่าถึงแม้กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดให้ใช้วิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ถ้าอ่านตามเนื้อความที่บัญญัติไว้ย่อมจะต้องหมายถึงหลักฐานแห่งหนี้ในทำนองเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ อย่างไรก็ดี นิยามโทเคนดิจิทัลในกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามข้อบัญญัตินี้

“ผมขอแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการออกโทเคนดิจิทัลมีกฎหมายรองรับอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ การพัฒนาโทเคนนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของงานเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นในลำดับต้น ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังเอามาโปรโมทเป็นด่านหน้านั้น สะท้อนว่าคิดงานเป็นชิ้นๆแทนที่จะวางแผนเป็นระบบ ผมขอแนะนำให้ศึกษาแนวการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะเป็นการวาดฝันสวยหรูแต่ไม่สามารถทำได้จริง ดังที่เกิดขึ้นกรณีโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่หาเสียงเอาไว้ใหญ่โตเป็นนโยบายเรือธง แต่เวลาผ่านมาสองปีก็ยังทำไม่ได้” นายธีระชัยเตือน

ขณะที่ฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทยยังเตือนว่า การออก G-Token ควรมีระบบและกระบวนการที่ดี มีความปลอดภัย มีกฎหมายรองรับ และควรคุ้มครองประชาชนได้เทียบเคียงได้กับพันธบัตรรัฐบาล

ทั้งนี้ G-Token ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐบาลไทยในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการระดมทุนจากประชาชนโดยตรง แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นจากประชาชน การดำเนินการอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ที่จะเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการดังกล่าวนี้