โครงการ Worldcoin ของ แซม อัลแมน ซีอีโอ OpenAI กำลังเผชิญกับกระแสต้านจากทั่วโลก หลังเปิดตัวในสหรัฐฯ ด้วยเทคโนโลยีสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนดิจิทัล แม้จะมีเป้าหมายเพื่อแยกแยะมนุษย์จาก AI แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและสิทธิพื้นฐานของผู้ใช้
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา แซม อัลแมน ซีอีโอของ OpenAI ได้เปิดตัวโครงการ Worldcoin อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา โดยตั้งศูนย์สแกนม่านตาใน 6 เมืองใหญ่ ได้แก่ ซานฟรานซิสโก แอตแลนตา ออสติน ลอสแอนเจลิส ไมอามี และแนชวิลล์ เพื่อสร้างระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลที่เรียกว่า World ID โดยผู้ใช้จะได้รับโทเคนดิจิทัล (WLD) เป็นรางวัล
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้กลับถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เนื่องจากการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์อย่างการสแกนม่านตาอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและการเฝ้าระวังมวลชน
ความกังวลด้านกฎหมายและความเป็นส่วนตัวในสหรัฐฯ
ในสหรัฐอเมริกา การคุ้มครองข้อมูลไบโอเมตริกซ์ยังไม่มีมาตรฐานกลางระดับประเทศ โดยแต่ละรัฐมีกฎหมายที่แตกต่างกันไป เช่น เท็กซัสและแคลิฟอร์เนียมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลไบโอเมตริกซ์บางส่วน ขณะที่จอร์เจีย เทนเนสซี และฟลอริดายังไม่มีข้อบังคับเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้ในรัฐเหล่านี้ต้องพึ่งพากฎหมายของรัฐบาลกลางที่เน้นความโปร่งใสและความยุติธรรม แต่ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับการสแกนม่านตา
ด้าน แอนดรู รอว์สัน ทนายความด้านไซเบอร์และกิจการสาธารณะกล่าวว่า "ประสิทธิภาพของการคุ้มครองข้อมูลผู้ใช้ขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญ ทรัพยากร และความเต็มใจในการดำเนินการของอัยการสูงสุดของรัฐ" ซึ่งหมายความว่าการบังคับใช้กฎหมายอาจแตกต่างกันไปตามรัฐและแนวทางของเจ้าหน้าที่
นานาชาติประสานเสียงต่อต้าน
นอกจากสหรัฐฯ แล้ว โครงการ Worldcoin ยังเผชิญกับการต่อต้านจากหลายประเทศทั่วโลก
โดยในสเปน หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลได้สั่งห้ามการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของ Worldcoin และสั่งให้บล็อกข้อมูลที่เก็บรวบรวมไปแล้ว
ขณะที่ในเคนยา ศาลได้สั่งให้ Worldcoin ลบข้อมูลไบโอเมตริกซ์ที่เก็บรวบรวมอย่างผิดกฎหมายจากพลเมืองหลายพันคน
ด้านในฮ่องกง หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลได้สั่งให้ Worldcoin หยุดดำเนินการทั้งหมดหลังพบว่าการเก็บข้อมูลม่านตาและใบหน้าของประชาชนอาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หวั่นถูกนำไปใช้งานในแอปหาคู่และความเสี่ยงอื่นที่ตามมา
แม้จะเผชิญกับกระแสต้าน แต่ Worldcoin ยังคงขยายการใช้งาน โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับ Match Group เจ้าของแอปหาคู่ Tinder เพื่อทดลองใช้ World ID ในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ในญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่าการใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ในแอปหาคู่อาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวและการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะหากข้อมูลดังกล่าวถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
อย่างไรก็ดีโครงการ Worldcoin ของแซม อัลแมน แม้จะมีเป้าหมายในการสร้างระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลที่ปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลง แต่กลับเผชิญกับคำถามใหญ่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและสิทธิพื้นฐานของผู้ใช้ การขยายตัวของโครงการในสหรัฐฯ และความร่วมมือกับแอปหาคู่ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าเทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำลายความเป็นส่วนตัวของผู้คนทั่วโลก