การบรรลุข้อตกลงเจรจาการค้า ระหว่างสหรัฐกับจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นข่าวดีชิ้นใหญ่ที่นักลงทุนทั่วโลกรอคอย และตลาดหุ้นพุ่งทะยานขึ้นตอบรับทันที โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ดีดตัวขึ้นกว่า 1 พันจุด
แต่ตลาดหุ้นไทยกลับปิดบวกเพียงไม่กี่จุด เพราะถูกนักลงทุนต่างชาติถล่มขาย เนื่องจากยังมีมุมมองประเทศในเชิงลบ
จีนเป็นประเทศที่สองที่บรรลุการเจรจาต่อรองภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ต่อจากอังกฤษ โดยสหรัฐจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จากเดิมกำหนด 145% เหลือ 30% ขณะที่จีน ลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งเดิมจะเก็บในอัตรา 125% เหลือ 10%
สงครามการค้าที่กังวลกันว่า จะสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มคลายตัวลง โดยผลกระทบจะไม่ร้ายแรงจนนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ หุ้นทั่วโลกจึงกลับมาเขียวขจีแต่ตลาดหุ้นไทยกลับไม่คึกคักมากนัก
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ระหว่างชั่วโมงซื้อขาย หุ้นจะพุ่งทะยานขึ้นกว่า 20 จุด และขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 1231 จุด แต่ถูกเทขายจนอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1214.39 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 3.45 จุดเท่านั้น โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายอีก 2,466 ล้านบาท
การเทขายของต่างชาติ เป็นการตอกย้ำว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ปรับมุมมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ประเมินว่า หุ้นจะฟื้นคืนสู่ความสดใส ไม่มั่นใจว่าที่จะกลับมาไล่ซื้อหุ้น จึงเทขายหุ้น ลดความเสี่ยง จนยอดขายหุ้นสะสมนับจากต้นปีพุ่งกว่า 5.74 หมื่นล้านบาทแล้ว
นักลงทุนอาจมีความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ จะบรรลุข้อตกลงด้วยดีเหมือนอังกฤษและจีน ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น 36% แต่วันนี้ ไทยยังไม่ได้รับหมายนัดจากสหรัฐ ทั้งที่เพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนหลายประเทศมีนัดหมายเจรจาแล้ว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่าง ๆ ไม่ได้ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไว้สวยหรูนัก แม้ไทยจะสามารถเจรจาต่อรองลดอัตราภาษีศุลกากรกับสหรัฐก็ตาม เพราะผลกระทบมีอยู่ โดยเฉพาะการส่งออกในครึ่งปีหลังที่จะชะลอตัวงลง
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มจะฟุบหนัก เพราะการส่งออกชะลอตัวจากผลกระทบการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ การท่องเที่ยวก็ไม่คึกคักตามที่คาดหมาย จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยอาจต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ การบริโภคภายในยังไม่ฟื้น การลงทุนภาคเอกชนหยุดชะงัก ส่วนการลงทุนภาครัฐไม่ได้เติบโตมากนัก
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ปี 2568 ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดแทบทุกสำนักวิจัยเศรษฐกิจทั้งในแบละต่างประเทศ ประมาณการว่า GDP ไทยในปีนี้จะโตต่ำกว่า 2% และบางสำนักคาดหมายอาจโตเพียง 1% หรือต่ำกว่า
เช่นเดียวกับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ซึ่งถูกปรับลดมาตลอด พร้อมกับเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปีนี้ ที่ถูกหั่นเป้าลดลงมานับจากต้นปี จนล่าสุดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1350 จุด
ส่วนมุมมองแนวโน้มระยะสั้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่า คงปรับตัวขึ้นไม่เกิน 1250 จุด แม้จะมีข่าวดีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนคลี่คลายลงก็ตาม
แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังขาดเสน่ห์ ไม่มีจุดขาย ไร้สัญญาณการฟื้นตัวรอบใหญ่ๆ จึงมีคำแนะนำให้นักลงทุน
ชิงจังหวะขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ต้องรอขายเมื่อดัชนีฯขึ้นไปแตะที่ระดับ 1250 จุด แต่เริ่มทยอยขายตั้งแต่ดัชนี ฯ ทะลุผ่าน 1200 จุด ยิ่งขึ้นต่อยิ่งขาย
แต่นักลงทุนที่ชิงเทขายหุ้น กลับเป็นต่างชาติ ซึ่งปักหลักขายหุ้นไม่เลิก นักลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะรายย่อย ยิ่งซื้อ ฝรั่งก็ยิ่งขาย
ถ้าฝรั่งไม่เปลี่ยนมุมมอง ไม่ขนเงินกลับมาซื้อหุ้น การลุ้นให้ดัชนี ฯ ฝ่าด่าน 1250 จุด คงต้องเชียร์กันชนิดหืดขึ้นคอเชียวละ