xs
xsm
sm
md
lg

OR กำไรฟื้น แต่หุ้นยังต่ำจอง...โอกาสหรือความท้าทาย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มอง “ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก”หลังไตรมาสแรกกำไรพุ่ง แต่หลายฝ่ายเชื่อจะกลับมาลดลงในไตรมาส 2 ส่วนแผนผลักดันธุรกิจ Non – Oil ยังต้องติดตามอีกยาวเพื่อหวังช่วยลดความเสี่ยงธุรกิจน้ำมัน จากการแข่งขันในธุรกิจที่สูง และยังจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ภายใต้การนำของ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าสนใจ แม้ผลการดำเนินงานล่าสุดไตรมาส 1/2568 จะส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ราคาหุ้น ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ยังคงต่ำกว่าราคา IPO อย่างมีนัยสำคัญ

ราคาปิดล่าสุดของ OR (10พ.ค.) อยู่ที่ 14.30 บาท/หุ้น ซึ่งยังคงต่ำกว่าราคา IPO ที่ 18.00 บาท/หุ้น ถึง 3.70 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 20.56% โดยตลอดทั้งปี 2568 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าราคาหุ้นยังยากจะกลัยไปเหนือราคาจองได้ และถือแนความท้าทายที่สำคัญของ OR

เมื่อเร็วๆนี้ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ของ OR แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยบริษัทมีรายได้ขายและบริการ 182,422 ล้านบาท ลดลง 1.9% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่มีกำไรสุทธิ 4,380 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 46% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมี EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 32.7%

 มุ่งมั่นขยายกลุ่ม Lifestyle

การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่เติบโตถึง 39.6% จากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เติบโต 9.8% จากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจอื่นๆ และ กลุ่มธุรกิจ Global เติบโต 30.8% จากการฟื้นตัวของผลประกอบการในฟิลิปปินส์ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสุทธิกลับลดลง

สิ่งที่น่าสนใจคือ OR ยังคงให้ความสำคัญกับการขยาย ธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ได้ขยายร้าน found & found เป็น 10 สาขา และตั้งเป้าไว้ที่ 50 สาขาภายในปี 2569 นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งบริษัทย่อยสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และการเปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในกัมพูชา

ล่าสุด OR ยังได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "AA+" แนวโน้ม "Stable" จากทริสเรทติ้ง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกน้ำมัน

 ผลงานดีเพียงไตรมาสแรก

กลับกันการฟื้นตัวของผลประกอบการ OR ดูเหมือนยังไม่ถูกใจนักวิเคราะห์เท่าาที่ควร เริ่มกันที่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ของ OR ที่ 4.4 พันล้านบาท สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) ที่ลดลง และรายรับพิเศษจากการกลับรายการสำรองเผื่อผลขาดทุนจากลูกหนี้ 460 ล้านบาท รวมถึงค่าการตลาดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 2/68 จะลดลง QoQ จากค่าการตลาดน้ำมันที่อาจลดลง และผลกระทบจากโปรโมชั่นส่วนลดน้ำมันเบนซิน พร้อมคงคำแนะนำ "ถือ" และราคาเป้าหมาย 15.00 บาท

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการไตรมาส 1/68 ที่ออกมาดีกว่าคาด โดยมีกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Mobility ที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 2/68 จะอ่อนตัวลงจากผลกระทบของโปรโมชั่นลดราคาน้ำมันเบนซินและผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ยังคงปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อเก็งกำไร" ด้วยราคาเป้าหมายเดิม 15.2 บาท โดยมองว่าแรงหนุนหลักในปีนี้จะมาจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงและไม่มีการตั้งด้อยค่า

และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองรายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกของ OR ที่ 4,379 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย แม้กำไรปกติจะเติบโตได้ QoQ จากค่าการตลาดน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง ทำให้คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 2/68 จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลและการรับรู้ผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ยังคงคาดการณ์การเติบโต YoY จากปริมาณขายที่ฟื้นตัวและประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย จึงคงราคาเหมาะสมสิ้นปี 2568 ที่ 15.70 บาท พร้อมปรับคำแนะนำลงเป็น "TRADING" เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาได้สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวไปพอสมควรแล้ว

ทั้งนี้ในภาพรวมแม้ OR จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ที่แข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นยังคงต่ำกว่า IPO อย่างเห็นได้ชัด และแนวโน้มในไตรมาส 2/2568 ยังมีความท้าทายจากปัจจัยด้านราคาและการแข่งขัน โปรโมชั่นส่งเสริมการขายซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในระยะสั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป


ทำไมมีแต่กราฟขาลง

ที่ผ่านมาราคาหุ้น OR ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ โดยอาจมีหลายปัจจัยซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่การประเมินมูลค่า (Valuation) ที่สูงเกินไปในช่วง IPO ทำให้หุ้น OR ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก นั่นทำให้ความคาดหวังถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและไลฟ์สไตล์ของบริษัทสูงตามไปด้วย จนทำให้ราคา IPO ที่ตั้งไว้นั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแผนธุรกิจที่ต้องการลดความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก

ประเด็นถัดมาคือ ธุรกิจ Non-Oil เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนบางส่วนอาจคาดหวังกับการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อ OR อยู่เครือกลุ่มปตท.ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทอันดับต้นของตลาด ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นที่จับตา และเชื่อมั่น แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจนี้ยังมีสัดส่วนรายได้ที่น้อยกว่าธุรกิจน้ำมันอย่างมาก แม้จะมีอัตรากำไรที่ดีกว่าก็ตาม แต่เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง รวมถึงมีการลงทุนสูง ทำให้กำไรโดยรวมอาจไม่ได้เติบโตตามความคาดหวัง 

นอกจากนี้ OR ยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันทำให้ ผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง เพราะในเนื้อแท้ธุรกิจหลักของ OR ยังคงผูกผันกับราคาน้ำมันดิบ ซึ่งมีความผันผวนสูง อาจส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดและผลประกอบการโดยรวมได้

ขณะเดียวกัน ทั้งในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ OR กำลังดำเนินธุรกิจนั้นมีการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้การรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดทำได้ยากขึ้น และอาจต้องมีการใช้โปรโมชั่นที่ส่งผลต่ออัตรากำไร รวมไปถึงบริษัทจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการขยายธุรกิจ ดังนั้นการลงทุนขยายสาขาและการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ

ไม่เพียงเท่านี้ OR ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ และ Sentiment ตลาด เช่นภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และปริมาณการใช้น้ำมัน รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ เพราะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและค้าปลีก อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจของ OR ได้ อีกทั้ง Sentiment กลุ่มพลังงาน ในปัจจุบันนั้นไม่สดใสมากนัก ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น OR ได้เช่นกัน 

ส่วนอีกปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น OR คือ การขาดปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น เนื่องจากที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า OR มีการเติบโตที่ไม่โดดเด่น และหากนักลงทุนไม่เห็นการเติบโตของกำไรที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ก็ไม่เกิดแรงจูงใจในการเข้าซื้อหุ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับผลประกอบการ แนวโน้มธุรกิจ หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาจกดดันราคาหุ้นอยู่บ่อยครั้ง นำไปสู่การปรับลดประมาณการของนักวิเคราะห์ในช่วงที่ผ่านมา

 Non-Oil เริ่มมีบทบาท

อย่างไรก็ตามจากการชี้แจงการเติบโตของผลประกอบการ OR ในไตรมาส1/68 ของบริษัท นอกเหนือจากธุรกิจหลัก พบการเติบโตที่น่าสนใจในธุรกิจ Non-Oilของบริษัท หลังจาก OR มีการลงทุนและขยายธุรกิจ Non-oil อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (เช่น Café Amazon, โอ้กะจู๋) ค้าปลีกอื่นๆ (เช่น 7-Eleven ผ่าน CP All) และบริการ (เช่น EV Charger, บริการซักอบรีด Otteri Wash & Dry) แม้จะมีบางธุรกิจที่ต้องยุติลงไป

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า OR มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-oil ให้เป็น 30-35% ภายใน 5 ปี (อ้างอิงจากข้อมูล ณ มกราคม 2565) ซึ่งหมายความว่า OR คาดหวังให้ธุรกิจ Non-oil มีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นอย่างชัดเจน จากที่ผ่านมา OR พยายามสร้าง Synergy ระหว่างธุรกิจ Non-oil และธุรกิจน้ำมัน โดยใช้สถานีบริการน้ำมัน PTT Station เป็น Hub ในการนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น 

แต่ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อธุรกิจ Non – Oil ของบริษัทยังจำเป็นที่ต้องมีการลงทุนอีกมาก อาทิ การเพิ่มจำนวนสาขาของร้านค้า Non-oil อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มรายได้และกำไร อีกทั้งแต่ละสาขาที่เปิดให้บริการ จำเป็นต้องมีการเติบโตของยอดขายต่อสาขา (SSSG) ที่น่าสนใจ ด้วย รวมไปถึงการลงทุนในในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่ม Health & Wellness ที่ OR ให้ความสนใจ จะเป็นโอกาสในการเติบโตในระยะยาว

อย่างไรก็ตามทุกอย่างยังต้องขึ้นอยู่กับ สภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ เช่น สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภค จะมีผลต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและบริการ ขณะที่การแข่งขันในตลาดค้าปลีกและอาหารเครื่องดื่มที่สูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยท้าทายต่อการเติบโตและอัตรากำไร

ดังนั้นจากเป้าหมายของบริษัทและแนวโน้มการเติบโตในปัจจุบัน คาดการณ์ได้ว่าธุรกิจ Non-oil ของ OR จะเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างชัดเจนภายใน 3-5 ปีนับจากปีที่ OR เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ (2564) ซึ่งหมายถึง ประมาณปี 2567-2569 เป็นต้นไป

สิ่งเหล่านี้ ผู้ถือหุ้น และนักวิเคราะห์ต่างคาดหวังว่า น่าจะทำให้ได้เห็นสัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามเป้าหมายที่กำหนด และอาจกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเติบโตหลักของ OR ในอนาคต แทนที่จะพึ่งพิงธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ ภาพรวมไตรมาส 1/68 สัดส่วนรายได้ในธุริจของ OR แบ่งเป็น ธุรกิจน้ำมัน ยังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักของ OR โดยคิดเป็น ประมาณ 70-80% ของรายได้รวม ขณะที่ธุรกิจ Non-oil มีบทบาทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนรายได้รวมกัน ประมาณ 20-30% ซึ่งรวมถึงธุรกิจค้าปลีก มีสัดส่วนรายได้ที่สำคัญ และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เช่น Café Amazon, โอ้กะจู๋ และอื่นๆ มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น

ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่น บริการ EV Charger, Otteri Wash & Dry และธุรกิจใหม่ๆ ยังมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่มีแนวโน้มเติบโต

และจากภาพรวมเหล่านี้จึงช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมว่า ธุรกิจน้ำมันยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทต่อไปอีกหลายปี แม้ปี 2569 บริษัทจะสามารถผลักดันรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ขึ้นมาถึงระดับ 40% ก็ตาม แต่ทิศทางของรายได้ของบริษัทยังคงผันผวนตามราคาน้ำมัน สภาพเศรษฐกิจ และนโยบายในการกำกับดูแลของภาครัฐ

 ภาพรวม OR พอเห็นแววฟื้น

ทั้งนี้ ในระยะสั้น ถือว่า OR มีสัญญาณบวกทางธุรกิจ เมื่อพิจารณาจาก รายงานผลประกอบการล่าสุดสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งพบว่า OR มีกำไรสุทธิ 4,380 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าถึง 46% และเพิ่มขึ้น 17.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากยอดขายน้ำมันและธุรกิจ Café Amazon ที่เติบโต รวมถึงปัจจัยบวกจากเครื่องมือทางการเงิน

ขณะที่ด้านการลงทุน พบว่า  OR ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจ Non-oil อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูงและช่วยลดความผันผวนของรายได้จากธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียวได้ เช่น การลงทุนใน "โอ้กะจู๋" และธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มนี้ แม้จะมีการตั้งคำถามเรื่องราคาที่เข้าไปลงทุน แต่ก็เป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาว 

ที่สำคัญ OR ยังคงเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงและสร้างกระแสเงินสดได้ดี อีกทั้งบริษัทกำลังปรับทิศทางสู่พลังงานสะอาด หลังจากมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สำคัญในอนาคต ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น OR โดยคาดการณ์ผลกำไรที่เติบโตขึ้นและให้ราคาเป้าหมายที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน 

แม้บริษัทจะมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันซึ่งยังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักของ OR ทำให้ผลประกอบการยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมการลงทุนที่สูงใน ธุรกิจ Non – Oil โดยเฉพาะการเข้าซื้อธุรกิจบางแห่งในราคาสูงและอาจส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว

ดังนั้น โดยรวมแล้ว OR ยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาบริษัทที่มีธุรกิจที่มั่นคง มีการเติบโตในธุรกิจ Non-oil และมีการปรับตัวเข้าสู่แนวโน้มพลังงานสะอาด แต่ก็ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงต่างๆ และติดตามผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิด รวมถึงประเมินมูลค่าหุ้นให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุน


กำลังโหลดความคิดเห็น