ซีพีออล์เตรียมขายหุ้นกู้อายุ 4 ปี 10 เดือน 13 วัน ช่วงดอกเบี้ย [2.80 – 2.95]% ต่อปี ได้รับการอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 สะท้อนความมั่นคงของธุรกิจค้าปลีกอันดับหนึ่งของไทย ชี้ทางเลือกลงทุนในธุรกิจพื้นฐานแกร่ง ช่วงดอกเบี้ยขาลง คาดว่าเปิดจองให้ผู้ถือหุ้นกู้เดิม 28-30 พ.ค. 2568 ก่อนขายให้ผู้ลงทุนทั่วไป 25-27 มิ.ย. 2568 นี้
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกู้ชุดนี้จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นกู้เดิม (ผู้ถือหุ้นกู้ CPALL256B) จองซื้อก่อน ระหว่างวันที่ 28 – 30 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 4 ธนาคาร ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ จองซื้อขั้นต่ำ 1 หน่วย หรือ 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1 หน่วย หรือ 1,000 บาท โดยจำนวนสูงสุดที่จองได้จะไม่เกินจำนวนหุ้นกู้ชุด CPALL256B ที่ถืออยู่ ณ วันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้ ณ วันที่ 23 เมษายน 2568 (ใช้สิทธิ 1 หน่วย หุ้นกู้เดิม :1 หน่วย หุ้นกู้ใหม่) และสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป จะเปิดจองระหว่างวันที่ 25 – 27 มิถุนายน 2568 ผ่าน 6 ธนาคาร ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กรุงไทย และ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย รวมทั้งแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet ด้วย จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุกๆ 100,000 บาท
ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดใหม่นี้เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 4 ปี 10 เดือน 13 วัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยมีช่วงอัตราดอกเบี้ยที่ [2.80-2.95]% ต่อปี (สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง)
"หุ้นกู้ ซีพี ออลล์ ครั้งนี้ เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังปรับลด เพราะยังได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงผ่านการลงทุนกับบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแรงและแบรนด์เป็นที่รู้จักของคนไทย” นายเกรียงชัยกล่าว พร้อมขอเน้นย้ำ ให้ผู้ลงทุนระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อบริษัทฯ หลอกลงทุน นำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชัน Line เป็นต้น ขอให้นักลงทุนพิจารณาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ หรือติดต่อสอบถามผ่านธนาคารทั้ง 6 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ก่อนตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ ยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครือข่าย “เซเว่น อีเลฟเว่น” กว่า 15,245 สาขาทั่วประเทศ และวางแผนเปิดเพิ่มปีละประมาณ 700 สาขา รวมถึงการขยายไปยังประเทศกัมพูชาและลาว พร้อมยกระดับบริการ O2O ผ่าน 7-Delivery ให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่องทาง
อนึ่ง ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 987,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% และกำไรสุทธิ 25,346 ล้านบาท โตถึง 37.1% จากปีก่อน ตอกย้ำศักยภาพในการเติบโตท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน