xs
xsm
sm
md
lg

ทาคูนิกางแผนปั้นTAILG ตั้งเป้า1.5หมื่นคันดันรายได้แตะ400ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 
ยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวี (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา (2567) สูงกว่า 96,000 คัน ส่งผลให้มียอดรถไฟฟ้าสะสมรวมแล้วถึงกว่า 440,000 คัน โดยนอกจากรถยนต์โดยสารแล้ว พบว่าตลาดที่น่าสนใจอีกกลุ่มคือ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีการจดทะเบียนใหม่ถึงกว่า 25,000 คันและมียอดสะสมถึงกว่า 62,000 คันเลยทีเดียว


ดร.กฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททาคูนิ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ TAKUNI บอกให้ฟังถึงเรื่องนี้ว่า พื้นฐานการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ผ่านมาได้รับผลจากการอุดหนุนของภาครัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่สนับสนุนเต็มรูปแบบ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปได้  จูงใจด้วยการลดค่าใช้จ่ายพลังงานในชีวิตประจำวัน ประกอบกับกำลังซื้อของตลาดกลุ่มนี้ ทำให้การขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตได้ดีมาก ในขณะที่การสนับสนุนในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มีเงื่อนไขหลายประการที่ทำให้ราคายังคงสูงกว่ารถมอเตอร์ไซค์สันดาป จึงทำให้ผู้บริโภคยังไม่เปลี่ยนใจมาใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามากนักแม้จะมีค่าใช้จ่ายพลังงานที่ถูกกว่าก็ตาม

ในมุมผู้ผลิตก็ต้องคิดมากขึ้น เพราะเงินสนับสนุนที่ลดลงจาก 18,000 บาท ลดลงเหลือ 10,000 บาท แลกกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นตาม ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการสนใจทำการตลาดลดลงตามไปด้วย


อีก 10 ปีตลาดโตแตะ 9แสนถึง 1 ล้านคัน
ดร.กฤตพงศ์ บอกต่อว่า การอุดหนุนของภาครัฐเป็นตัวกระตุ้นให้มันเกิดแรงกระเพื่อมแรกในอุตสาหกรรม แต่การขยายตัวหลังจากนี้จะมาจากความเชื่อมั่นในแบรนด์ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการบริการหลังการขายที่รวดเร็วและครอบคลุม ซึ่งจุดนี้คล้ายกับการขยายตัวช่วงแรกของตลาดรถจักรยานยนต์สันดาปในอดีต

“ตลาดไทยยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เริ่มมีแบรนด์จักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เข้ามา ซึ่งปีสองปีนี้จะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากตลาดขยายตัวขึ้นและสินค้าเริ่มติดตลาด เจ้าอื่นก็จะกล้ามาลงทุนเพิ่ม ซึ่งส่งผลดีกับผู้บริโภค แต่ถ้าจะให้มองว่าจักรยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาทดแทนในส่วนของรถน้ำมันเท่าไร คาดว่าถ้าจะให้ถึง50% หรือประมาณ 9 แสนคันจากประมาณ 1.8 ล้านคัน ประมาณอีก 10 ปีถึงจะเป็นไปได้ ส่วนอีก 2 ปีข้างก็คิดว่าน่าจะทดแทนได้เต็มที่คงไม่เกิน 10% และขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีส่วนแบ่งการตลาดเท่าไหร่”  


ทาคูนิกางแผนปั้นปั้นTAILG*

ดร.กฤตพงศ์ บอกอีกว่า ในส่วนของธุรกิจรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าตามแผนเดิมอาจล่าช้าออกไปบ้าง เพราะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยทั้งในส่วนของตลาดจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตช้ากว่าที่คิด และการหาพันธมิตรเพื่อสอดรับกับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปซึ่งทุกอย่างเริ่มอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นและน่าจะดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ช่วงเวลานึงผมมีเวลาได้ทบทวนแผนการตลาดใหม่ทั้งหมด มานั่งนิ่งๆ แล้วดูว่า อะไรมันเป็นปัญหาจริงๆที่ทำให้ตลาดจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น ผมเดินสายทั่วประเทศไปดูเลยและได้เห็นกับตา ผมได้เห็นว่าถ้าเป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้าในต่างจังหวัดเติบโตค่อนข้างช้า เนื่องด้วยระยะทาง ราคา และสถานีชาร์จหรือสถานีสลับแบตเตอรี่ยังไม่รองรับการใช้งาน แม้แต่ในกรุงเทพฯเองก็ตาม แม้จะมีระบบรองรับแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ซึ่งแม้ยอดขายในกรุงเทพฯจะมีร่วม 20,000 คัน แต่ก็เป็น 20,000 จาก 1,800,000 ของยอดขายมอเตอร์ไซค์ทั้งหมดซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก ไม่นับว่ายังต้องแบ่งมาร์เก็ตแชร์กับแบรนด์อื่นๆอีก ซึ่งด้วยจำนวนนี้คงยังไม่ใช่ New S Curve ที่ทาคูนิต้องการฉะนั้นผมจึงต้องเปลี่ยนแผนธุรกิจใหม่หมด“

ในทางกลับกัน ต่างจังหวัดนิยมรถจักรยานไฟฟ้าค่อนข้างมากและเมื่อได้คุยกับตัวแทนจำหน่ายรถหลายเจ้า รวมถึงดูข้อมูลหลายๆมิติ พบว่าตลาดกลุ่มนี้มียอดขายมากกว่า 200,000 คันต่อปี โดยราคาจะอยู่ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงประมาณคันละ 45,000 บาทตามแต่คุณภาพของสินค้า ซึ่งด้วยข้อมูลตรงนี้ทำให้เรามองว่าตลาดตรงนี้มีทั้งขนาดและศักยภาพที่ทางเรามองหา


ปรับกลยุทธ์สร้างแบรนด์เพื่อต่อยอด
ดร.กฤตพงศ์ บอกอีกว่า “ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำจักรยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว เรายังคงทำเหมือนเดิม แต่เราจะเริ่มต้นด้วยการทำตลาดจักรยานไฟฟ้าก่อนเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และราคาไม่ได้สูงนัก แม้ว่าเทลจี (TAILG) จะเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก แต่ก็ยังค่อนข้างใหม่ในไทย ดังนั้นเราจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ของตัวแบรนด์ผ่านสินค้า ช่องทางจัดจำหน่ายให้ผู้บริโภคได้เห็นและเข้าถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการหลังการขายต้องมีประสิทธิภาพและครอบคลุม เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับประสบการณ์และบอกต่อประสบการณ์ที่ดีที่มีต่อแบรนด์ของเรา”

*ส่งจักรยานไฟฟ้าปูพรมขยายฐานลูกค้า*
ดร.กฤตพงศ์ บอกว่าในช่วงครึ่งปีแรกเราจะกระจายรถจักรยานไฟฟ้าในราคาที่เข้าถึงได้ก่อน ซึ่งจะต้องทำให้คนเห็นก่อนว่าเทลจีมีตัวตนและเป็นแบรนด์ระดับโลก โดยเบื้องต้นจะเน้นกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายและเครือข่ายพันธมิตรของเรา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายมีเครือข่ายในการกระจายสินค้าอยู่เป็นจำนวนมากและสร้างการมองเห็นได้ไวยิ่งขึ้น

“ต้องเข้าใจก่อนว่าภาพเล็กของเราในปีนี้คือการทำให้ลูกค้ารู้จักเราก่อน และภาพใหญ่ต่อจากนั้นคือตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยที่ประมาณ 1.8 ล้านคัน เราทำทุกอย่างเพื่อก้าวขึ้นไปอีกขั้นในปีต่อไป”


ตั้งเป้ายอดขาย15,000คันรายได้แตะ400ล้าน
เมื่อลูกค้าเริ่มรู้จักเราแล้ว เห็นว่าสินค้าของเราขายได้ มีสินเชื่อสนับสนุน คุณภาพดี บริการหลังการขายดี เค้าจะบอกต่อกันเอง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวแทนจำหน่ายหรือตัวผู้บริโภคเองก็ตาม ซึ่งพอเราทำให้เค้ามั่นใจได้ ตลาดจะวิ่งตามมาแล้วการเติบโตอย่างยั่งยืนก็จะตามมาเอง สุดท้ายก็กลับมาที่เราเองนี่แหล่ะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเห็นก่อน

ผมคาดหวังว่าการเติบโตจะเป็นไปตามที่คาด ซึ่งตามแผนที่วางไว้ทั้ง 3 ระยะน่าจะเห็นได้ภายในปีนี้ โดยมีเป้าว่าจะมีออกผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน ขยายสาขาเครือข่ายพันธมิตร 100แห่ง พร้อมยอดขายของจักรยานไฟฟ้าและมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้ารวม 15,000 คันหรือคิดเป็นรายได้ก็ประมาณ 400 ล้านบาท


สินเชื่อเช่าซื้อช่วยปั้มยอด
ดร.กฤตพงศ์ บอกด้วยว่า การซื้อจักรยานยนต์ในปัจจุบันเป็นสัดส่วนการเช่าซื้อกว่า 80% ดังนั้นการมีพันธมิตรในการปล่อยสินเชื่อให้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจ ซึ่งแผนการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากบริษัทกับพันธมิตรซึ่งเป็นที่รู้จักในธุรกิจเช่าซื้อจะเข้ามาสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานไฟฟ้า จักรยานยนต์ไฟฟ้า และจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

“เมื่อเรามีสินเชื่อ การตัดสินใจของคนซื้อจะง่ายขึ้นและเป้าประสงค์แรกที่จะทำให้คนรู้จักเราผ่านสินค้าก็จะเกิดขึ้น และเมื่อคนต้องการสินค้าเรามากขึ้น เราก็จะมีตัวแทนจำหน่ายสนใจเรามากขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็จะช่วยตอบโจทย์ผู้บริโภคในแง่การสั่งซื้อสินค้า อะไหล่ รวมไปถึงบริการหลังการขายที่จะครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น