ครบรอบ 1 เดือน กับการเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่เกิดขึ้นเทื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยเป็นเหตุการณืแผ่นดินไหวที่มีขนาดความรุนแรงมากที่สุดในรอบ100ปี โดยมีจุดศูนย์กลางในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งได้ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ จนสร้างให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในตลาดที่อยู่อาศัยของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม
ความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหว ทำให้ลูกค้าคอนโดจำนวนมากกังกวลกับการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม จนทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากชะลอการตัดสินใจซื้อและ โอนกรรมสิทธิ์ให้โครงการคอนโดมิเนียม และทำให้ผู้ประกอบการออสังหาฯทั้งรายใหญ่และรายเล็กออกมาให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างอาคารและคอนโดมิเนียมว่าทุกๆ โครงการมีการออกแบบเพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวไว้แล้ว เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลุ่มลูกค้า
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือSENA ระบุว่า แผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่ผลกระทบได้ให้บทเรียนสำคัญในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งเชิงจิตวิทยาและจากภาวะเศรษฐกิจรอบด้าน ซึ่งกระทบต้นทุนก่อสร้างและภาพรวมเศรษฐกิจโลก และในภาวะที่ตลาดกำลังเผชิญความไม่แน่นอนนี้
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ “เสนาฯ” ก้าวไปอีกขั้น กับการใช้ความได้เปรียบทางความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากพันธมิตรญี่ปุ่น “บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัทอาสังหาฯจากญี่ปุ่นนั้นมีจุดแข็งในเรื่องของโนฮาวน์เกี่ยวกับระบบป้องกันแผ่นดินไหวอยู่แล้ว
ดังนั้น “เสนาฯ” จึงมีการปรับกลยุทธ์เชิงรุก นำนวัตกรรมมาปรับใช้ทันที ผ่านแนวคิด Geo fit+ ที่มีขบวนการป้องกันและตั้งรับเหตุภัยพิบัติ จะนำมาใช้กับโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ทันที เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมกันนี้ยังเห็นโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด และเร่งผลักดัน“LivNexเช่าออมบ้าน” และ “RentNex”เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ลดข้อจำกัดด้านการกู้ซื้อบ้าน สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ดร.เกษรา เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบในหลายภาคส่วน รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับผลในเชิงจิตวิทยาแม้จะเป็นเพียงระยะสั้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยลบอื่น ๆ ที่กดดันอยู่ เช่น ปัญหาการชำระหนี้ของหลายบริษัทในไตรมาส2 ซึ่งอาจกระทบต่อสถานะทางการเงินของผู้ประกอบการในตลาด อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบในระดับมหภาค คือ การยกระดับสงครามการค้า ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ประเด็นนี้ถือว่ามีผลในระดับกว้างกว่าผลจากแผ่นดินไหว เพราะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ เสนามองว่าในไตรมาส 2/2568 ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มไฮไรส์ แต่ในระยะยาวตลาดจะค่อย ๆ
ปรับสมดุลได้เอง ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์
“ในมุมของธุรกิจอสังหาฯ ปัจจัยที่น่ากังวลคือราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีนี้เราจึงต้องรับมือกับความท้าทายถึงสองเรื่องในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบการท่องเที่ยว และมาตรการภาษีของทรัมป์ การบริหารความเสี่ยงในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
แต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ดร.เกษรา กล่าว
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เสนาฯ พร้อมและใส่ใจอย่างเต็มที่ ด้วยการตั้ง War Roomภายใน1 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุการณ์ เพื่อประสานงานและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของบริษัทฯ ร่วมกับฮันคิว ฮันชิน พันธมิตรจากญี่ปุ่น ลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารสูงทันทีตั้งแต่คืนวันที่ 28 มีนาคม 2568
โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทุกรายละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกบ้านและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ผลกระทบที่พบส่วนใหญ่เป็นเพียงรอยร้าวหรือแตกร้าวในงานสถาปัตยกรรมบางจุด เช่น ผนังและฝ้าเพดาน ขณะที่โครงสร้างหลักของอาคารทุกแห่งยังคงมีความมั่นคงปลอดภัย โดยเสนาฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบโครงการทั้งหมด108 แห่ง ครอบคลุมคอนโดมิเนียม 62 โครงการ และโครงการแนวราบ 46 โครงการ รวมถึงโครงการเก่าที่แม้เสนาฯ จะไม่ได้เป็นนิติบุคคลบริหารโครงการ แต่ก็ไม่นิ่งนอนใจ พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทันทีที่ได้รับการติดต่อจากลูกบ้าน
ภายใต้การขออนุญาตจากนิติบุคคลตามขั้นตอน
รวมถึงได้จัดทำมาตรการเร่งด่วน SENA’s Protocolเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกบ้านในทุกโครงการที่อาจได้รับผลกระทบ โดยมาตรการแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ สร้างความมั่นใจ เร่งตรวจสอบอาคารโดยทีมวิศวกรของเสนาฯ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party)ทั้งในโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและโครงการที่แล้วเสร็จ,ตรวจสอบเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ดำเนินการสำรวจห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางอย่างละเอียด โดยเปิดให้ลูกบ้านแจ้งปัญหาผ่านแอปพลิเคชันSEN PROPเพื่อรวบรวมข้อมูลและปัญหาของลูกบ้าน การเคลมประกัน จนถึงงานซ่อมแซม และแก้ไขดำเนินการแก้ไข และซ่อมแซมร่วมกับพาร์ทเนอร์และผู้เกี่ยวข้อง
ดร.เกษรา กล่าวถึง การพัฒนาโครงการในปี2568 ยังคงดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยเสนาฯ ใช้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในการจัดการกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน มายกระดับมาตรฐานโครงการอย่างรอบคอบและทันที ด้วยการระงับการก่อสร้างชั่วคราวจำนวน 6 โครงการ ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนก่อนเริ่มก่อสร้าง เพื่อนำนวัตกรรมและแนวทางการออกแบบด้านความปลอดภัยจากพันธมิตรญี่ปุ่น (HHP)มาปรับใช้ก่อนเดินหน้าก่อสร้างต่อไป โดยในระหว่างนี้ยังคงดำเนินการขายทั้ง6 โครงการตามแผนงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ว่าโครงการเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาในมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดรองรับทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจในระยะยาว
ส่วนการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวด การเข้าถึงที่อยู่อาศัยจึงกลายเป็นความท้าทายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค เสนาฯ จึงได้พัฒนา “LivNex เช่าออมบ้าน” นวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถ “จ่ายค่าเช่า เท่ากับมีเงินออม”
พร้อมโอกาสเปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของภายใน 3 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านในครั้งแรก โดยมีหน่วยงานภายในของบริษัท “เงินสดใจดี” ให้คำปรึกษาและวิเคราะห์เครดิตอย่างเป็นระบบ รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสร้างประวัติเครดิตและเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 ยูนิต สะท้อนความต้องการในตลาดและความเชื่อมั่นต่อรูปแบบการอยู่อาศัยทางเลือกใหม่นี้
ขณะเดียวกัน เสนาได้เปิดตัวโมเดลการเช่าแบบสมาชิก “RentNex”ซึ่งออกแบบมาเพื่อกลุ่มGeneration Rentที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น และมองการเช่าเป็นทางเลือกหลักRentNexช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าอยู่อาศัยในคอนโดฯ คุณภาพของเสนา โดยเริ่มต้นเพียง 6,700 บาทต่อเดือน รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายและไม่ผูกมัดระยะยาว