xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นท่องเที่ยวส่อแวว ฉุดรายได้หลังจีนลดบินมาไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผลพวงนักท่องเที่ยวจีนหดตัว เริ่มกระทบหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ฉุดรายได้-ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า เหตุความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยถดถอย จากกรณีการลักพาตัว และแผ่นดินไหว หนำซ้ำที่เที่ยวอื่นมีแรงดึงดูดสูงกว่า โบรกปรับลดเป้าและ GDP ด้าน AOT นำทีมสายการบิน โรงแรม รับผลกระทบ แนะรอสัญญาณฟื้นตัวก่อนกลับเข้าลงทุน

แม้ดัชนี Set Index จะฟื้นตัวกลับมาไม่ถึงระดับ 1,200 จุด ( ล่าสุดวันที่ 2 พ.ค.68 ปิดที่ระดับ 1,198.98 จุด) แต่ก็มีแนวโน้มที่จะกลับมายืนเหนือระดับกล่าวได้ จากหลายสถานการณ์ลบที่กดดันตลาดหุ้นไทยเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตามดูเหมือนวิกฤตตลาดหุ้นไทยยังไม่จบสิ้น เมื่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสหกรรมที่มีบทมบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตตามเป้า กำลังจะถูกฉุดรั้ง เมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จนอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใครต่อใครหวังอาจไม่สมดังใจหวังเสียแล้ว และนั่นย่อมส่งผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียนกลุ่มท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้

นักลดท่องเที่ยวจีนลดลงเกือบครึ่ง

ล่าสุด สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) แอตต้าเตรียมเสนอสมุดปกขาวเกี่ยวกับการฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีน ต่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลสนับสนุน การฟื้นฟูวิกฤติความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนต่อประเทศไทย หลังจากแอตต้าได้นำเสนอแผนการฟื้นฟูฯ ต่อนายนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตามลำดับแล้ว

ทั้งนี้ แอตต้า ในฐานะสมาคมที่นำนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยประมาณ 4-5 ล้านคนต่อปีในช่วงก่อนโควิด-19 และในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 3 ล้านคน ส่วนในปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ผ่านเอเย่นต์จีนได้มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยยะตามตัวเลขสถิติในภาพใหญ่ มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางกับสมาชิกแอตต้าในเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 ลดลง 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่สถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในภาพรวมลดลงตั้งแต่เดือน ก.พ. ลดลง 45% และเดือน มี.ค. ลดลง 48% เทียบกับปีที่ผ่านมา

โดยแอตต้าได้ข้อมูลจากภาคเอกชนทั้งร้านค้า บริษัทขนส่ง และร้านแลกเปลี่ยนเงินตราที่มียอดเงินต่างประเทศเข้าแลกเปลี่ยนลดลงในเดือน มี.ค. ประมาณ 15% รวมทั้งผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และข้อมูลเชิงประจักษ์จากข่าวสารบนออนไลน์และสื่อหลักต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นั่นบ่งชี้ว่า ตลาดจีนขณะนี้กำลังลงเหว ปัจจุบันมีเที่ยวบินจากจีนมาไทยประมาณ 136 เที่ยวบินต่อวัน และหากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเรื่อยๆ แนวโน้มครึ่งหลังของปี 2568 เที่ยวบินอาจถูกยกเลิกไปประมาณ 68% ของเที่ยวบินทั้งหมด

ที่ผ่านมา แอตต้าได้รวบรวมความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีผลต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จนสามารถวิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะโครงการฟื้นฟูตลาดจีน เพื่อป้องกันภาวะวิกฤติที่อาจจะรุนแรงมากขึ้นจนมีโอกาสสูญเสียฐานการตลาดที่สำคัญให้กับคู่แข่งเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนามที่มีสินค้าท่องเที่ยวราคาถูก หรือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีภาพลักษณ์และคุณภาพดีกว่า และมีค่าเงินเยนที่ลดลงจนทำให้เกิดกระแสการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อซื้อสินค้าเป็นเป้าหมายหลัก

เสนอ 2 มาตรการกระตุ้น

สำหรับมาตรการกระตุ้นความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ต่อผู้ประกอบการและภาพลักษณ์ของประเทศไทยผ่านสื่อมวลชนจีนภายใต้โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ด้วยการเชิญผู้ประกอบการจีน 300 ราย กับสื่อมวลชน 100 รายเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากรัฐบาลไทย และเดินทางสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวให้ได้สัมผัสกับความปลอดภัย โครงการนี้คาดใช้งบประมาณสนับสนุน 20 ล้านบาท

และงบประมาณสนับสนุนโครงการ “เที่ยวบินพิเศษ หรือ Charter Flight” จากเมืองรองในประเทศจีน ซึ่งจะเป็นลูกค้ากลุ่มเดินทางครั้งแรก (First Visit) ที่จะมีกำลังซื้อและใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากกว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นประจำ เพราะเกิดความแปลกใหม่ และเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในประเทศไทย ย่อมมีการใช้จ่ายที่มากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเป้าหมายนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะอยู่ในเมืองรองและเป็นฐานการตลาดของผู้ประกอบการนำเที่ยวแบบออฟไลน์ในประเทศจีนที่ต้องอาศัยเที่ยวบินเช่าเหมาลำมาจุดกระแสความนิยมการเดินทางมาประเทศไทยให้กลับมาในช่วงเดือน มิ.ย. - ส.ค.นี้

“แนวคิดการทำ 2 โครงการนี้ มาจากการมองผลตอบแทนโครงการจะมีไม่ต่ำกว่า 8,300 ล้านบาท การลงทุนสนับสนุนนี้ปราศจากความเสี่ยงของภาครัฐเนื่องจากเป็นการร่วมลงทุนตามหลัก 80:20 กล่าวคือ เอกชนลงทุน 80% ส่วนภาครัฐสนับสนุนอีก 20% แบบมีเงื่อนไขคือในทุกเที่ยวบินจะต้องมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 150 คนต่อการสนับสนุนเที่ยวบินละ 300,000 บาท ดังนั้นภาคเอกชนที่ลงโดยบริษัทนำเที่ยวต้องแบกรับความเสี่ยงจากลงทุน และเกิดแรงกดดันในการขับเคลื่อนตลาด”

โบรกปรับลดเป้านักท่องเที่ยว

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลดลงจาก 40 ล้านคน มาอยู่ที่ 35 ล้านคน เพื่อสะท้อนปัจจัยลบคือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลง ผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวลดลง

นั่นทำให้แนวโน้มการเติบโตของกลุ่มท่องเที่ยวในปี 2568-2569 ดูไม่น่าตื่นเต้นนัก แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2570 โดยมองว่าความผันผวนสูงในตลาดการลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะกดดันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ตามวัฏจักร เช่น กลุ่มท่องเที่ยว อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การเข้าลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวแนะนำให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนจากความกังวลทางเศรษฐกิจที่ผ่อนคลายลง จึงชอบ MINT มากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นและมีรายได้ที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศสูง


กระทบ GDP ประเทศ

ขณะเดียวกัน เมื่อปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 35 ล้านคน INVX ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 1.4% (จากประมาณการเดิมที่ 2.5%) โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ INVX ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 ลง คือ การปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลงมาอยู่ที่ 35 ล้านคน (จาก 40 ล้านคน) โดยพิจารณาจากปัจจัยลบ 3 ประการ ได้แก่ การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน (ลดลง 24% เทียบปีก่อน ในไตรมาสแรกปี68) ผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. และความต้องการเดินทางที่อาจลดลงสืบเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2568

นอกจากนี้ ยังใช้สมมติฐานว่าตลาดนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ตลาดจีน) จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 29.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% เทียบปีก่อน ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากจีนจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5.3 ล้านคน ลดลง 22% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดจะลดลง 1% ในปี 2568 ยังอยู่ในระดับทรงตัว ในปี 2569 (35 ล้านคน) และเติบโต 7% เทียบปีก่อน ในปี 2570 (37.4 ล้านคน) ซึ่งบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังไม่ฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19

โดยคาดว่าความต้องการเดินทางใน ครึ่งหลังปี 68 ถึงปี 2569 จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ซึ่งต้องติดตามผลกระทบของนโยบายภาษี

สิ่งเหล่านี้ทำให้นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรลดลง, ปรับ valuation โดยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568-2570 ของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวลดลงเพื่อสะท้อนสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับใหม่ ผลกระทบด้านการดำเนินงานจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่อ่อนแอลง

AOT นำทีมรับผลกระทบ

โดยบริษัทที่ถูกปรับประมาณการกำไรลดลงมากที่สุด คือ AOT เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ หลังจากปรับประมาณการ เพราะพบว่าแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2568-2559 สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวดูไม่น่าตื่นเต้นนัก โดยคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2570

“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต แต่เราปรับสมมติฐานอัตราการเติบโตในระยะยาวของกลุ่มท่องเที่ยวลดลงตามหลักความระมัดระวังมาอยู่ที่ 1.5% (จาก 2%) เพื่อสะท้อนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลทำให้เราปรับราคาเป้าหมายลดลง และเราปรับคำแนะนำสำหรับ MINT และ ERW ลงสู่ NEUTRAL (จาก OUTPERFORM)”

รอสัญญาณฟื้นตัวก่อนเข้า

ดังนั้น ควรรอสัญญาณที่ชัดเจนจากความกังวลทางเศรษฐกิจที่ผ่อนคลายลง เพราะตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวลดลงมาแล้ว 8-53% โดยส่วนใหญ่ underperform SET ที่ลดลง 22% แม้ราคาตลาดปัจจุบันจะอยู่ใกล้เคียงกับ valuation ที่ประเมินไว้ในกรณี bear case แต่มองว่าความผันผวนสูงในตลาดการลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะยังคงกดดันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ตามวัฏจักร เช่น กลุ่มท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

ทำให้การเข้าลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวแนะนำให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนจากความกังวลทางเศรษฐกิจที่ผ่อนคลายลง โดย MINT เป็นหุ้นที่ชอบมากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีจุดแข็งด้านปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ 1) ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลง ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และ 2) รายได้ของ MINT มีความสัมพันธ์กับอุปสงค์ในประเทศ (จากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร) มากกว่าบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มท่องเที่ยว

ส่วนปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความต้องการเดินทาง การขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือ การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และขยะที่มีประสิทธิภาพ 

ความไม่เชื่อมั่นกดดดัน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯรายงานไตรมาสแรกปี 68 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทย 9.55 ล้านคน +1.9% เทียบปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากความไม่เชื่อมั่นการเดินทางมาไทยของนักท่องเที่ยวจีนต่อกรณีนักแสดงจีน “หวังซิน” ถูกหลอกจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่เมียนมาโดยเดินทางผ่านไทย ใน ม.ค. ผลกระทบยังไม่ชัดเจน เพราะมีตรุษจีนช่วงปลายเดือน นักท่องเที่ยวจีน +30.3% แต่หลังผ่านตรุษจีน ก.พ. และ มี.ค.นักท่อง เที่ยวจีนลดลงชัดเจน 44.9%% และ 48.2%

ทั้งนี้ ไตรมาสแรกปี 68 นักท่องเที่ยวจีนยังมาไทยเป็นอันดับ 1 ที่ 1.33 ล้านคน ลดลง 24.2% จากปีก่อน อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนหันไปเที่ยวญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนค่า สิงคโปร์และมาเลเซียที่ไม่ต้องทำวีซ่าเช่นเดียวกับไทย มาเลเซียอันดับ 2 ที่ 1.15 ล้านคน ลดลง 1.3% เพราะมีช่วงถือศีลอด (รอมฎอน) 28ก.พ.– 30 มี.ค. ส่วนอันดับ 3 และ 4 เป็นรัสเซียและอินเดีย เติบโตดี 16% และ 15% ซึ่งเป็นความหวังที่จะเข้ามาช่วยชดเชยนักท่องเที่ยวจีนได้ส่วนหนึ่ง และอันดับ 5เกาหลีใต้-10.9% จากปัจจัยเศรษฐกิจภายในของเกาหลีใต้เองจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงใน ก.พ. และ มี.ค. ทำให้นักท่องเที่ยวรวมใน 2 เดือนดังกล่าว หดตัว 6.9% และ 8.8% เทียบปีก่อน เมื่อเทียบกับ ม.ค. ที่โต 22.2%ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวจากต่างประเทศรวม 4.63แสนล้านบาท +1.8% เทียบปีก่อน

คนไทยท่องเที่ยวในประเทศโต 4.5%

กระทรวงการท่องเที่ยวฯรายงาน 2 เดือนแรกของไตรมาสแรก นักท่องเที่ยวคนไทยเที่ยวในประเทศ 4.5% ที่ 33.99ล้านคน-ครั้ง โดยจังหวัดที่คนมาเยือนสูงสุด 5 อันดับแรกเป็น กรุงเทพฯ ชลบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันท์ แต่ถ้ามองในแง่รายได้พบว่าจะเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต โดยมูลค่าการท่องเที่ยวของคนไทยใน 2M1Q68อยู่ที่ 1.82แสนล้านบาท +6.3%

ทั้งนี้ ไตรมาส 2 ปี 68 นักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีแนวโน้มอ่อนตัวจากนักท่องเที่ยวจีนและแผ่นดินไหว ไตรมาส 2 ปี68 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มอ่อนตัวจากปีก่อน หลักใหญ่จากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังชะลอตัว และยังมีเหตุแผ่นดินไหวที่รับรู้ได้ถึงไทยยิ่งทำ ให้ความเชื่อมั่นที่จะมาท่องเที่ยวไทยลดลงอีก ประกอบกับญี่ปุ่นอยู่ในช่วงดอกซากุระบานที่เริ่มไล่ในแต่ละเมืองตั้งแต่ 20 มี.ค. และไปจบที่ซัปโปโร(ฮอกไกโด)เริ่มบาน 30 เม.ย. อีกทั้งค่าเงินเยนที่อ่อนค่ายังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้ไปเที่ยวญี่ปุ่น รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีความกังวลจากแผ่นดินไหว แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากท่องเที่ยวในกลุ่มตลาดมุสลิมในช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลสงกรานต์ของไทยซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์อยู่ใน เม.ย. และเมื่อดูจากอดีต พ.ค.-มิ.ย. ไม่ได้มีเทศกาลสำคัญ นักท่องเที่ยวมักจะต่ำกว่า เม.ย. 

ท่องเที่ยวในประเทศยังโตต่อเนื่อง

ทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง จากช่วงสงกรานต์ที่เป็นช่วงหยุดยาวและเป็นวันครอบครัว ซึ่งมีการเดินทางกลับไปภูมิลำเนาและท่องเที่ยว อีกทั้งจะมีมาตรการ “เที่ยวคนละครึ่ง” 1 ล้านสิทธิ ที่รัฐบาลจะสนับสนุนการท่องเที่ยว 40%-50% (เมืองหลักหรือเมืองรอง) ค่าที่พักและอาหาร โดยในช่วง พ.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นช่วง low season ของการท่องเที่ยว โดยจำนวนคนไทยน่าจะไปได้ถึงเป้าภาพรวม

เป้านักท่องเที่ยวต่างชาติลำบาก

สำหรับเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาตั้งไว้ที่39-40 ล้านคน จากปี 2567 ที่ 35.54 ล้านคนนั้น การบรรลุเป้าดูยากมากขึ้นหากดูจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ผนวกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมาที่สั่นไหวมาถึงไทยยิ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อการเดินทางมาเที่ยวไทยมากขึ้น จากเดิมเป้านักท่องเที่ยวจีนที่ 8 ล้านคนปีนี้ของกระทรวงฯน่าจะเป็นไปได้ยาก โดยสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยวคาดน่าจะอยู่ที่ 7 ล้านคน โตจาก 6.73 ล้านคน

ทั้งนี้ คงต้องดูมาตรการของรัฐบาลที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ส่วนนักท่องเที่ยวมาเลเซียจะกลับมาดีขึ้น รวม ถึงการเติบโตในตลาดรัสเซียและอินเดีย ซึ่งอินเดียอาจมีการเจรจาของเพิ่ม Seat Quota รอบ 2 ในครึ่งปีหลัง 2568 หลังจากเฟสแรกที่เพิ่มฝั่งละ 7,000 ที่นั่ง/สัปดาห์เต็มไปแล้ว

สำหรับหุ้นอิงนักท่องเที่ยวจีนได้รับผลกระทบเริ่มที่ ERW สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 30% ของรายได้รวม CENTEL สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 20% ของรายได้รวม MINT สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 6% ของรายได้รวม AOT การเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนมาทางสายการบินต้องผ่านสนามบิน AAV ปี 2567 มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่ 13% ซึ่งปีนี้ได้ลดเที่ยวบินไปจีนจากความต้องการเดินทางที่ยังไม่ฟื้นตัว แล้วเพิ่มเที่ยวบินไปอินเดียและภายในประเทศที่ยังมีการเติบโตอยู่ รวมถึงการใช้สิทธิการบินที่ 5 (บินไปประเทศที่สาม) เปิดเส้นทางบินใหม่เพิ่ม เพื่อชดเชย

ส่วน BA รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนน้อยกว่า 5% ของรายได้สายการบิน เส้นทางบินหลักคือเข้า-ออกสมุยที่ปี 2567 มีสัดส่วนรายได้สายการบิน 68% ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นยุโรป

ทำให้แนะนำ Top Pick เป็น BA จากการอิงนักท่องเที่ยวจีนน้อยสุดและฐานผู้โดยสารเป็นยุโรปที่ยังเติบโต และ MINT ที่รายได้มาจากต่างประเทศ 80% จึงได้รับผลกระทบจากจีนน้อยกว่า


กำลังโหลดความคิดเห็น