xs
xsm
sm
md
lg

SCB WEALTHเปิดขาย4กองทุนThai ESGX

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และตลาดหุ้นไทย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC, SCB Finance Market, SCB CIO และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย เปิดจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568

นางสาวฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB EIC)
เปิดเผยว่า มุมมองต่อเศรษฐกิจของ SCB EIC และกนง.ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุมมองล่าสุด SCB EIC ณ เดือน เม.ย. มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 1.5% ในกรณีฐาน บนสมมติฐานที่ว่า ไทยจะต่อรองลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ได้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้สหรัฐฯ จะชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปชั่วคราว 90 วัน ผลกดดันต่อการส่งออกไทยจะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งหลัง แต่สำหรับความเชื่อมั่นในการลงทุนของธุรกิจไทยน่าจะถูกกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้แล้ว ผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้มองว่าการลงทุนเอกชนปีนี้จะยังไม่ฟื้นจากที่เคยหดตัวในปีที่แล้ว ภาคการท่องเที่ยวเองก็อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากอย่างที่เคยคาดไว้ หากดูทิศทางเศรษฐกิจรายไตรมาสจะเห็นว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงเรื่อยๆ จากไตรมาสแรกที่จะยังเห็นเติบโตได้ 3% ไตรมาส 2 จะขยายตัวลดลงเหลือ 2.2% และลดลงเหลือเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 4

SCB EIC จึงยังคงมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามเดิม โดยมองว่า จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 อย่างละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่องไปปีหน้า และความไม่แน่นอนยังสูงมาก หลังจากนี้คงต้องอยู่ที่ภาครัฐว่าจะเจรจาต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ภาคธุรกิจและประชาชนจะเตรียมปรับตัวจากสถานการณ์ข้างหน้าที่มองเห็นแบบนี้อย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาระทางการเงินลูกหนี้และช่วยดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนภาครัฐอาจอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกทาง

นายสรรค์ชัย สกุลสุรเอกพงศ์ ผู้จัดการ Investment Product Selection and Partnership, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB WEALTH พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนการจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ผ่านสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ประกอบด้วย

1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBT70X) มีความเสี่ยงระดับ 5 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พื้นฐานดี ไม่เกิน 70% และตราสารหนี้ที่เด่น ESG 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAPX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พร้อมกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงไม่เกิน 20% 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนไม่น้อยกว่า 80% และใช้กลยุทธ์คัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุน เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ 4) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTS100X) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 100 บริษัทที่คำนวณอยู่ในดัชนี SET100FF ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นเงินลงทุนใหม่ โดยสามารถลงทุนได้ในช่วง IPO และหลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ส่วนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุน 5 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน

ส่วนที่สอง สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีหน่วยลงทุนอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน Thai ESGX และไม่ได้ดำเนินการสับเปลี่ยนหรือขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ นับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา ส่วนนี้สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทุกหน่วยลงทุน จากทุก บลจ. มายังกองทุน Thai ESGX ได้ นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะเริ่มรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568 โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสัดส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างปี 2569-2572 สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท

สำหรับ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF มายัง Thai EGSX จะช่วยให้นักลงทุนได้ต่อยอดสิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนใหม่ ทำให้ไม่ต้องรีบขายขาดทุนหน่วยลงทุน LTF ที่ขาดทุนอยู่ ขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนใน Thai ESGX เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นการลงทุนในบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ด้วย

เมื่อนับรวมวงเงินสำหรับการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ หากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนครบทุกรูปแบบ จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมสูงสุดที่ 1,400,000 บาท แบ่งเป็น กองทุนรวม Thai ESGX ส่วนเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 300,0000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน, Thai ESGX ส่วนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF สูงสุด 300,000 บาท, กองทุนรวม Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และ การลงทุนเพื่อการเกษียณรวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันบำนาญ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด

**คาดปรับลดมุมมองเครดิตไม่กระทบยาว**
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
กล่าวว่า โดยปกติตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองได้ดีกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไป 0.25% จะให้ประโยชน์ 1.3% ของกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 20-25 จุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะตลาดหมี ดังนั้น จึงอาจปรับขึ้นได้ในช่วงสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับในภูมิภาค ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และขนส่ง

ส่วนกรณีการปรับลดมุมมองเครดิตของไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบระยะยาว โดยในปี 2565 ไทยก็เคยถูกปรับลดเครดิตของกลุ่มธนาคารมาแล้ว เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการปรับลดมุมมองเครดิตทั้งหมด สะท้อนถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP และอัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อรายได้ ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับที่เคยมีอยู่ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเรื่องการเปิดให้ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai EGSX) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น