xs
xsm
sm
md
lg

"จระเข้" ชูวิสัยทัศน์ปี68ดันก่อสร้างสีเขียวประกาศเป้าหมายปี2065สู่Net Zero

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์
“จระเข้ คอร์ปอเรชั่น” เปิดแผนปี68 มุ่งยกระดับธุรกิจสู่ผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างสีเขียว ตั้งเป้าเติบโต 10% สะท้อนธุรกิจที่แข็งแกร่งท่ามกลางตลาดหดตัว ลุยเพิ่มพอร์ตผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและสีจระเข้ เสริมช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่ง เปิดเป้าหมายใหญ่สู่ Net Zero

นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า กว่า 33 ปี ที่ “จระเข้” มุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา โดยในภาพรวมธุรกิจของจระเข้ ยังคงเป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่ครองมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 50% ทั้งนี้ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปี 67 มีมูลค่า 4,400 ล้านบาท ซึ่ง“จระเข้” ยังคงโตต่ออย่างแข็งแกร่งด้วยตัวแทนจำหน่ายในไทยและต่างประเทศกว่า 3,000 แห่ง

โดยในปี 67 ที่ผ่านมา “จระเข้” ทำยอดขายเติบโต 6% ในขณะที่สภาพตลาดโดยรวมหดตัวติดลบ 2 -3% สะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการ ปัจจุบันสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ปูกระเบื้อง (กาวซีเมนต์และกาวยาแนว) เติบโตสูงถึง 5% คิดเป็นสัดส่วนการขาย 70%, กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง เติบโต 15% คิดเป็นสัดส่วนการขาย 20% และสีจระเข้ เติบโต 35% คิดเป็นสัดส่วนการขาย ครอบคลุมกลุ่มสีจระเข้ และกลุ่มวัสดุตกแต่ง เครื่องมือ และน้ำยา ที่ 10%

ในช่วงปีที่ผ่านมา จระเข้ ได้เขย่าวงการก่อสร้างด้วยกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้าง หมวดงานพื้นกับนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่มีคุณภาพระดับสากลและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น "Crocodile Road Fix Express" มอร์ตาร์ สำหรับซ่อมพื้นผิวถนนคอนกรีตชนิดบาง คว้ารางวัลชนะเลิศจากเวที Best Innovation Award 2024 ในงานสถาปนิก นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว "Jorakay Green Pack" นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์กาวซีเมนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปฏิวัติวงการกาวซีเมนต์ ด้วยนวัตกรรม "Dustless Technology" รายเดียวในไทย และยังเร่งบุกตลาดสีเมืองไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ SEE JORAKAY พร้อมเปิด SEE JORAKAY Flagship Store ไปอย่างยิ่งใหญ่เมื่อปลายปี 67 และเปิดตัวสีรุ่นใหม่อีก 2 รุ่น

"ในปี 68 เราตั้งเป้าเติบโต 10% แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 90% และตลาดต่างประเทศ 10% โดยเน้นการขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและกลุ่มสีทาอาคารภายในและภายนอก SEE JORAKAY ทำการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เสริมช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่งและแพลตฟอร์มออนไลน์ พัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้า และขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะใน CLMV การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา ตอกย้ำว่านวัตกรรมและความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคมให้เดินหน้าอย่างมั่นคง เราเชื่อว่า 'ความสำเร็จที่แท้จริง' ต้องวัดจากผลกระทบเชิงบวกที่เราสร้างให้โลกในระยะยาว" นายศุภพงษ์เน้นย้ำ

 ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์
 ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า  บริษัทก้าวสู่ปีที่ 33 ภายใต้วิสัยทัศน์ "Sustainable Building Innovation" โดยยังคงมุ่งเน้นการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ผ่านนวัตกรรมก่อสร้างที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม "ในยุคนี้ วัสดุก่อสร้างต้องตอบโจทย์มากกว่าแค่'ความแข็งแรง' แต่ต้อง'ฉลาด ปลอดภัย และยั่งยืน' เราจึงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แนวคิดJorakay Innovation & Expert Solution โดยใช้อินไซต์จากตลาดมาประกอบกับการวิจัยและพัฒนา ทำให้เราออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงจุด ทั้งในแง่ฟังก์ชันและสุขภาวะ 

แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างไทยในปี 68 ตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มีสัญญาณการฟื้นตัวจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน คาดว่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 68 จะขยายตัว 3% แตะระดับ 856,000 ล้านบาท ขณะที่ภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 1% มาอยู่ที่ 586,000 ล้านบาท
คาดว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างจะเติบโต 4-5% จากแรงหนุนของโครงการรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมถึงการรีโนเวทซ่อมแซมที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว


ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนต่อเนื่องในด้านR&D และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยมีห้องแล็บทดสอบที่ได้การรับรองจากสถาบันมาตรฐานระดับประเทศรวมถึงการเสริมแกร่งด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ เช่นกาวซีเมนต์สูตรลดฝุ่น, สีปลอดสารระเหย (Low VOC), สารเคลือบผิวเพื่อสุขภาวะที่ล้วนช่วยยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย ด้านการขยายตลาดต่างประเทศ

 ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวว่า ตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่มประเทศ CLMV มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของภาคอสังหาฯ และความต้องการวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเวียดนามและกัมพูชาที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ท่าเรือ และสนามบินจระเข้ยังคงเดินหน้ารุกตลาดCLMVอย่างมีแบบแผน โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศราว 10% และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 15% ภายใน 2 ปีข้างหน้า ผ่านกลยุทธ์สร้างพันธมิตรท้องถิ่นและปรับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับบริบทแต่ละประเทศ "ในCLMV เราไม่ได้มองแค่การขายสินค้าแต่ต้องสร้าง'ฐานธุรกิจในระดับภูมิภาค' ซึ่งอาศัยทั้งความเข้าใจเชิงลึก การปรับตัวเชิงกลยุทธ์และการสร้างแบรนด์ระยะยาว ซึ่งเราได้วางแผนขยายเครือข่ายค้าปลีกร่วมกับกลุ่มโครงการก่อสร้างในตลาดหลักอย่างเวียดนาม กัมพูชา และลาว”

จระเข้มุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมก่อสร้างที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1)Core Market Reinforcement เสริมแกร่งในตลาดในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน และพัฒนา โปรเจกต์ร่วมกับดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ 2)Innovation-Led Portfolio Expansion เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์
Well-being & Green Living โดยตั้งเป้าให้สินค้านวัตกรรมมีสัดส่วน 30% ภายใน 3 ปี 3)Regional Growth Acceleration มุ่งขยายฐานรายได้ในตลาด CLMV โดยตั้งเป้ารายได้ต่างประเทศ 15% ภายในปี 2570 และ 4)Brand Trust & Sustainability Positioning ยกระดับเป็นPurpose-Driven Brand ที่ผู้บริโภคเชื่อถือในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน

 ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวว่า "จระเข้" ยังตั้งเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050
และจะเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 
ภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Jorakay Sustainability Framework) ที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต ผ่านหลัก 3P คือGreen Process (เราอยู่ได้), Green Planet (โลกอยู่ดี) และGreen People (สังคมมีสุข) พร้อมขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ 5SD ที่ครอบคลุมตั้งแต่การลดการปล่อย CO2 ลดปริมาณขยะและของเสีย ลดการใช้สารพิษและฝุ่น เพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิต 

โดยปัจจุบันจระเข้มียอดขายสินค้ากลุ่มGreen Products สูงถึง 63% จากสินค้าทั้งหมด ที่ผ่านมา เราเป็นผู้นำในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมวันนี้เราเดินหน้าต่อด้วยแนวคิด'BuildToday, Beyond Tomorrow : สร้างวันนี้เพื่อพรุ่งนี้ที่ยั่งยืนกว่า' เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง'ผลประกอบการ' กับ'ความยั่งยืน' ซึ่งจะเป็นแต้มต่อสำคัญของธุรกิจในอีก5-10 ปีข้างหน้า"


กำลังโหลดความคิดเห็น