xs
xsm
sm
md
lg

TISCO ESUเก็งกนง.ลดดอกเบี้ยอีก 0.25%รับมือสงครามการค้า-เศรษฐกิจโตต่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมรอบวันที่ 30 เม.ย.นี้ และครึ่งหลังมีแนวโน้มปรับลดอีก 1 ครั้ง เพื่อรับมือสงครามการค้า และเศรษฐกิจที่อาจโตต่ำเพียง 1.5% ด้านวิจัยกรุงศรีมองส่งออกพุ่งปัจจัยระยะสั้น มอง 3 ฉากทัศน์จีดีพีไทย ชี้หากส่งออกทั้งปีทรงตัว กดจีดีพีโต1.5-1.8%

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)
เปิดเผยว่า TISCO ESU คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมครั้งที่ 2 ของปีในวันที่ 30 เมษายน 2568 จากความไม่แน่นอนของนโยบายสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่ส่งผลกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งอัตรากำแพงภาษีที่ไทยถูกตั้งก็สูงกว่าคาดมาก ทั้งนี้ คาดว่า กนง. จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ราว 2% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน และต่ำกว่าตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

ในระยะถัดไป TISCO ESU ประเมินว่า กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีกเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก แต่จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต (Policy Space) โดยคาดว่าอาจเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือนสิงหาคม 2568 สู่ระดับ 1.50% ในปี 2568

ด้านค่าเงินบาท ค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 2% ตั้งแต่ต้นปี สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงมากว่า 8% (YTD) ซึ่ง TISCO ESU ประเมินว่า อาจเห็นค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าแตะระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ก่อนจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แม้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนแอลงจากครึ่งปีแรกก็ตาม

ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจ TISCO ESU ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 มาอยู่ที่ 2.1% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8% และมองว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้เพียง 1.5% เท่านั้น หากอัตราภาษีไม่ลดลงจากระดับ 36% ที่ประกาศไว้ในวันปลดแอกของสหรัฐฯ (Liberation Day) ทั้งนี้
การปรับลดประมาณการดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบของสงครามการค้าซึ่งรุนแรงกว่าที่คาดไว้มาก แม้ว่าจะมีระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันสำหรับการเจรจา แต่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าผลการเจรจา จะนำไปสู่การลดอัตราภาษีลงได้หรือไม่ อีกทั้งยังมีผลกระทบกับความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายอื่น โดยเฉพาะจีน
ซึ่งได้แสดงท่าทีเตรียมตอบโต้ประเทศที่จะตกลงกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่กระทบกับผลประโยชน์ของจีน

"เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี จากการส่งออกสินค้าในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มหดตัวในระดับเลขสองหลัก ส่วนทิศทางการลงทุนภาคเอกชน คาดว่านักลงทุนจะชะลอการตัดสินใจออกไป หรือในกรณีย่ำแย่บางส่วนอาจถึงขั้นล้มแผนการลงทุน นอกจากนี้ อาจเห็นสัญญาณการปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs จากกำลังการผลิตส่วนเกินของสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และกดดันกำลังซื้อของครัวเรือนให้ซบเซาลง อีกทั้งภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงจะส่งผลให้ประชาชนลดการบริโภคและเพิ่มการออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้การหมุนเวียนของเงินชะลอตัว และเสี่ยงเกิดเป็น Negative Feedback Loop ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมซึมลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้งยังทำให้ประสิทธิผลของนโยบายการเงินลดลงด้วย"

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะมีวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในงบกลางกว่า 1.5 แสนล้านบาท และมีการเปิดเผยถึงแผนการกู้เพิ่มเติมอีกราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แต่อาจจำเป็นจะต้องปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบันที่ตั้งไว้ 70% โดย TISCO ESU ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจะระยะยาว

“นอกจากแผนรับมือในระยะสั้นแล้ว แผนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาวก็มีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SMEs การปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความยุ่งยากในการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม รวมถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษา
และการปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยี (Tech Adoption) เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศให้พร้อมรับมือกับการค้าโลกยุคใหม่ที่จะเปลี่ยนไปสู่ De-globalization แบบ Multi-polar หรือการค้าโลกที่จะแบ่ง Supply Chain ออกเป็นหลายขั้ว และตัดสายอุปทานให้สั้นลง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ
(Super aged society) ในอีก 5 ปีข้างหน้าอีกด้วย” นายเมธัส กล่าว

**วิจัยกรุงศรีชี้ส่งออกพุ่งปัจจัยระยะสั้น**
ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ระบุจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ประเมิน GDP ไทยปีนี้เติบโตต่ำสุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียที่ 1.8% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569 เทียบกับประมาณการเดิมที่ 2.9% และ 2.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ เป็นอัตราเติบโตต่ำกว่า 2% เพียงประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน ขณะเดียวกัน IMF ชี้ว่า ASEAN จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางการค้ากับจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีครั้งนี้ ขณะที่วิจัยกรุงศรีประเมินหากการส่งออกไม่โตในปีนี้ GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง 1.5-1.8% ซึ่งเป็นกรณีเลวร้าย หากไทยต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ที่ 36% เกิน 6 เดือน หรือผลจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯพบว่าไทยเผชิญอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม (อัตราภาษีเดิมประกาศที่ 46%) จะทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในกรณีนี้การส่งออกโดยรวมในปี 2568 อาจไม่สามารถขยายตัวได้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.7% โดยได้รับทั้งผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้ว และยังถูกซ้ำเติมจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เบื้องต้นวิจัยกรุงศรีได้จัดทำประมาณการ GDP ของไทยในปี 2568 ภายใต้ 3 ฉากทัศน์ ได้แก่ (i) หากสหรัฐฯ คงอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวที่ 2.2–2.4% (ii) หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ 36% เป็นระยะเวลา 3–6 เดือน GDP อาจชะลอลงมาอยู่ที่ 1.9–2.1% และ (iii) หากมาตรการภาษีตอบโต้ดำเนินต่อเนื่องเกิน 6 เดือน หรือหากไทยคู่แข่งประสบความสำเร็จในการเจรจากับสหรัฐฯ จนทำให้อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย กรณีดังกล่าว GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง 1.5–1.8% ในปีนี้ ทั้งนี้ การจัดทำฉากทัศน์ดังกล่าวสะท้อนความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจไทยตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้

ส่วนมูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 29.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 17.8% YoYนั้น อาจเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งนำเข้าเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดแม้มีการประกาศเลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) กับประเทศต่างๆ ออกไป 90 วัน แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145% ขณะที่จีนโต้กับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 125% สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
กำลังโหลดความคิดเห็น