xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 33.37-แข็งค่าผันผวน-กังวลเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(29เม.ย.68)ที่ระดับ 33.37 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.33-33.67 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ล่าสุด ทางการของทั้งสองฝ่ายต่างให้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน

ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีธุรกิจภาคการผลิตโดยเฟด สาขา Dallas (Dallas Fed Manufacturing Business) เดือนเมษายน ก็ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้า ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกลับเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ อาทิ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ โดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ได้หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board (Consumer Confidence) และรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings)

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันพุธที่ 30 เมษายน ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมีนาคม

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงวันก่อนหน้า จนถึงช่วงเช้าวันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะความผันผวนสูงของตลาดค่าเงิน ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทมีจังหวะทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า จากนั้นก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น อย่าง กลยุทธ์ Options ตามที่เราได้เน้นย้ำมาโดยตลอด โดยเรามองว่า ความผันผวนของเงินบาทนั้น นอกเหนือจากผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ทิศทางราคาทองคำก็ถือว่ามีผลกับเงินบาทพอสมควร โดยเราคงประเมินว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาท (THB) กับราคาทองคำยังคงเป็นบวกอยู่ (Positive Correlation) และหากราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways อยู่ในช่วงการพักฐาน ก็อาจทำให้ เงินบาทแกว่งตัวในกรอบ Sideways ได้เช่นกัน (แต่อาจมีจังหวะอ่อนค่าหรือแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาทองคำ)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างมีมุมมองเชิงลบต่อเงินดอลลาร์มากพอสมควร สะท้อนผ่านการเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ควรระวังการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ที่อาจเกิดขึ้น หากบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่อาจออกมาสดใสและดีกว่าคาด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ที่อาจออกมาดีกว่าคาด เช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่า เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน อีกทั้งบรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจยังเดินหน้าทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้ โดยรวมเรายังคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไปจะอยู่แถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น