น.ส.อารีรัตน์ มุราชัย นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปในระบบเศรษฐกิจโลกที่ต้องเผชิญกับความเปราะบางรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาดทุน การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายของรัฐบาลมหาอำนาจ หรือความไม่แน่นอนในแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำในฐานะสินทรัพย์หลัก ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือกระจายความเสี่ยงอีกต่อไป
ขณะที่ตลาดส่งสัญญาณว่า เงินเฟ้อยังไม่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้อย่างชัดเจน บวกกับความเชื่อมั่นในสกุลเงินหลักที่ลดลง กำลังกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของเงินทุนให้ไหลเข้าสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่นทองคำ และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของทองคำจนทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการปรับขึ้น แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบเศรษฐกิจกำลังมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของตลาดที่มักจะ price in ความเสี่ยงล่วงหน้า
นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป แนะนำกลยุทธ์การลงทุน โดยอ้างอิงจากโครงสร้างราคาปัจจุบันยังคงแสดงภาพของแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีแนวรับสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเกิดการพักตัว ก็จะเป็นเพียงการพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น และมีแนวรับระยะสั้นภายในสัปดาห์ ที่ 3,285 หรือ 3,225-3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คิดเป็นราคาทองคำไทย ประมาณ 51,700 หรือ 50,800 บาท ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ระดับ 3,485 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3,552 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คิดเป็นราคาทองคำไทย 54,500 และ 55,300 บาท ตามลำดับ
ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนระยะสั้น โดยพิจารณาใช้จังหวะในการเล่นย่อ เพื่อสะสมตามแนวรับ, นักลงทุนระยะกลางถึงยาว ควรพิจารณาการถือทองคำในสัดส่วน 10-15% ของพอร์ต
นอกจากนี้ ยังคงแนะนำเกาะติดประเด็นกำแพงภาษี โดยล่าสุด ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีความลังเล ที่จะขึ้นภาษีจีน เพราะมาตรการภาษีอาจทำให้การค้าระหว่างกันหยุดชะงัก แต่ขณะเดียวกันก็ประกาศเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือสำหรับสินค้าที่เข้าเทียบท่าในสหรัฐฯ ในอัตราที่สูง รวมถึงการเจรจายุติโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้