xs
xsm
sm
md
lg

อานิสงส์ท่องเที่ยว-อุตฯ ขยายลงทุนหนุนคอนโด 3 จังหวัด EEC หลัง Q4/67 ยอดขอก่อสร้างพุ่ง 1,752.2 %

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่าจากสำรวจและจัดเก็บขอมูลตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC เพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ประจำไตรมาส 4/67 ว่า พบว่า ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในพื้นที่ จังหวัด ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีหน่วยลดลง –0.8% ส่วนในด้านมูลค่าลดลง –0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นการติดลบในสัดส่วนที่ลดลง โดยมีปัจจัยบวกจากการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ก่อนสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.67

ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลง –50.8% และจำนวนหน่วยลดลง – 44.8% ส่วนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง –18.3% โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบ –34.7% แต่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพิ่มขึ้น 1,752.2 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก EEC เป็นพื้นที่ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เป็นศูนย์กลางของนิคมอุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน ส่งผลให้เกิดการขยายตัว ของภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในพื้นที่มีแรงงานทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาทำงานในพื้นที่มากขึ้น

โดยยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีจำนวนหน่วยลดลง –6.7% และมูลค่าลดลงและ –7.8% เมื่อเทียบกับปี66 ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลง –32.3% และจำนวนหน่วยลดลง –40.2% ส่วนพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง –15.8% โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบมากถึง –15.8% และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดลดลง –15.2% เมื่อเทียบกับปี 66 สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดในภูมิภาคมีความต้องการมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ

แนวโน้มดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EECในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีวงเงิน 2.6 แสนล้านบาท ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งบริโภคและนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 ทำให้การลงทุนและการท่องเที่ยว ขณะที่โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ซึ่งมุ่งเน้นการลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับประชาชน ทำให้คาดการณ์ว่าจะทำให้หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น2.4 %และมูลค่าเพิ่มขึ้น1.2% ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯจะมีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น โดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ คาดว่าจะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 22.7% และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปี 67


 เปิดสสถานการณ์ซับพลายที่อยาอาศัยEEC

สำหรับสถานการณ์ซัปพลายที่อยู่อาศัยสะสมในพื้นที่EEC นั้น ในแง่ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในไตรมาสที่4/67
มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน29 โครงการลดลง –50.8%และมีจำนวนหน่วย2,643 หน่วย ลดลง –44.8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่4/67 การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน1,139 หน่วยหรือประมาณ43.1% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมดรองลงมาเป็น ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน756 หน่วย คิดเป็น28.6% และบ้านแฝด จำนวน722 หน่วย คิดเป็น27.3%ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรร

ส่งผลให้ในภาพรวมปี67 มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน147 โครงการ ลดลง–32.3%และจำนวนหน่วย12,415 หน่วย ลดลง –40.2% โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน5,119 หน่วย คิดเป็น41.2%ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน4,782 หน่วย คิดเป็น38.5%และบ้านแฝดจำนวน2,454 หน่วย คิดเป็น19.8% ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรร

ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายจังหวัดในEECปี67จังหวัดที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด เป็นอันดับ1 คือ จังหวัดชลบุรี มีจำนวน5,964 หน่วย คิดเป็น48.0%ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลง –30.6%เมื่อเทียบกับปี66
โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน3,284 หน่วย ลดลง -19.0%รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน1,768 หน่วย ลดลง -11.0% และเป็นบ้านแฝดจำนวน862 หน่วย ลดลง –62.7%

อันดับ2 จังหวัดระยองมีจำนวน4,998 หน่วย คิดเป็น40.3%ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลง –41.7%เมื่อเทียบกับปี66โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน2,462 หน่วย ลดลง-16.5%รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน1,301 หน่วย ลดลง-57.5% และเป็นบ้านแฝดจำนวน1,226 หน่วย ลดลง–50.6%

อันดับ3จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน1,453 หน่วย คิดเป็น11.7% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลง –59.7%เมื่อเทียบกับปี66โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน552 หน่วย ลดลง-60.6รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน534 หน่วย ลดลง-46.3 และเป็นบ้านแฝดจำนวน366 หน่วย ลดลง–67.3%


 คาดปี68 ใบอนุญาตจัดสรรที่อยู่อาศัยโต22.7%

สำหรับแนวโน้มใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยในEECปี68 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและกระตุ้นให้มีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ มากขึ้น โดยคาดการณ์จะมีจำนวนใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยประมาณ15,228 หน่วย เพิ่มขึ้น22.7% เมื่อเทียบกับปี67โดยคาดว่าอยู่ในช่วงประมาณ13,705 ถึง16,751 หน่วย หรือมีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง10.4%-34.9%เมื่อเทียบกับจำนวนในปี67 ที่มี20,765 หน่วย

โดยในไตรมาสที่4/67 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยในEECทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเองและที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวน842,316 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน666,857 ตารางเมตร ลดลง -34.7% และอาคารชุดจำนวน175,460 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น1,752.2%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพียง9,473 ตารางเมตร (ตร.ม.)

ทั้งนี้ ในปี67มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยในEECทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเองและที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ3,565,648 ตร.ม. แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ3,249,650 ตารางเมตร ลดลง -15.8% และอาคารชุดจำนวน315,999 ตารางเมตร ลดลง-15.2% เมื่อเทียบกับปี66

ส่วนแนวโน้มพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยในEECปี68 คาดว่าจะมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน3,654,453 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น2.5%เมื่อเทียบกับปี67 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่จำนวน3,471,730 - 4,202,621 ตารางเมตร มีอัตราการขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ -2.6%-17.9%เมื่อเทียบกับปี67 ซึ่งมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน4,233,728 หน่วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งคาดว่าการขออนุญาตจัดสรรที่ดินเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะมีการขอปลูกสร้างบ้านของประชาชนเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ปี 2567จังหวัดที่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุดเรียงลำดับได้ดังนี้ อันดับ1 จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่จำนวน2,298,759 ตารางเมตร คิดเป็น64.5%ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมดเมื่อเทียบกับปี66 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 2,015,536 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 1,415,774 ตร.ม. ลดล -10.7% เป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน365,993 ตร.ม.เพิ่มขึ้น5.7 และเป็นบ้านแฝดจำนวน152,311 ตารางเมตร ลดลง -0.4% เมื่อเทียบกับปี66 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน283,403 ตารางเมตร ลดลง-16.8% เมื่อเทียบกับปี66

อันดับ2 จังหวัดระยอง มีพื้นที่จำนวน790,936 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน22.2% ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -20.1% เมื่อเทียบกับปี66 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 761,528 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 552,325 ตร.ม.ลดลง -13.4% รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน158,431 ตร.ม. ลดลง -25.2% และเป็นบ้านแฝดจำนวน43,792 ตร.ม. ลดลง -58.7% เมื่อเทียบกับปี66 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน29,408 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น15.6% จากปี66

อันดับ3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่จำนวน475,954 ตารางเมตร คิดเป็น13.3% ของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -37.7 เมื่อเทียบกับปี66 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน472,767 ตร.ม.พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 384,206 ตารางเมตร ลดลง-35.4% รองลงมา เป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน43,556 ตารางเมตร ลดลง -30.7 และเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 29,935 ตร.ม.เพิ่มขึ้น4.3% เมื่อเทียบกับปี2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน3,188 ตารางเมตร ลดลง-53.2% เมื่อเทียบกับปี66

สำหรับสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในไตรมาสที่4/67 พบว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 13,365 หน่วย ลดลง-0.8% โดยมีมูลค่าการโอนที่33,407 ล้านบาทลดลง–0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี66 ที่มีจำนวน13,475 หน่วย และมูลค่า33,591 ล้านบาท โดยเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุดจำนวน9,408 หน่วย คิดเป็น70.4% ลดลง –0.2% และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์24,051 ล้านบาท ลดลง-0.2%
ส่วนยอดโอนอาคารชุด มีจำนวน3,957 หน่วย คิดเป็น29.6% ลดลง -2.2% และมีมูลค่า9,356 ล้านบาท ลดลง –1.4%

“สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในEECทั้งปี มีจำนวน48,095 หน่วย ลดลงจากปีก่อน-6.7% โดยมีมูลค่า การโอนรวม119,663 ล้านบาท ลดลง –7.8% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีการโอนมากที่สุด33,097 หน่วย คิดเป็น68.8% ลดลง–8.7% และมีมูลค่าลดลง –6.3% หรือมีมูลค่า84,613 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี66”


  คาดการณ์ดีมานด์ที่อยู่อาศัยปี68

ส่วนแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในEECปี68 คาดว่าจะมีจำนวน49,259 หน่วยเพิ่มขึ้น2.4% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ44,333-54,185 หน่วย มีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง-7.8% -12.7% เมื่อเทียบกับปี67 และคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ121,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น1.2% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ109,024-133,251 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง -8.9% -11.4% เมื่อเทียบกับปี67 ซึ่งมีมูลค่า129,767 ล้านบาท

โดยคาดว่า จังหวัดชลบุรี มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด32,797 หน่วย และมีมูลค่า85,983 ล้านบาท โดยเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ19,324 หน่วย มูลค่า53,222 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์7,875 หน่วยมูลค่า14,718 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์13,473 หน่วย มีมูลค่า32,761 ล้านบาท

ส่วนจังหวัดระยองคาดว่าจะมียอดโอนรองจากชลบุรี โดยมีการโอน11,292 หน่วย ลดลง –7.7% และมีมูลค่า24,601 ล้านบาท ลดลง –10.1% จากปีก่อน โดยจะเป็นการโอนที่อยู่อาศัยแนวราบ10,243 หน่วย มีมูลค่า23,032 ล้านบาท
ในจำนวนนี้เป็นการโอนบ้านเดี่ยวมากที่สุด5,175 หน่วย มูลค่า13,468 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอน1,049 หน่วยมูลค่า1,569 ล้านบาท

สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นจังหวัดที่มียอดโอนน้อยที่สุด โดยมียอดโอน4,006 หน่วย ลดลง –16.0% และมีมูลค่า9,079 ล้านบาท ลดลง –17.1% เมื่อเทียบกับปี66โดยเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 3,530 หน่วย มีมูลค่า
8,358 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุด1,617 หน่วย มีมูลค่า4,492 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์476 หน่วย มีมูลค่า 721 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น