นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่สูงที่สุดในรอบศตวรรษ ซึ่งกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำร้อยละ 10 สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน และตามมาด้วยภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงกว่า สำหรับประมาณ 60 ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มีผลในวันที่ 9 เมษายน แม้ว่าเพียง 13 ชั่วโมงหลังจากที่ภาษีตอบโต้เริ่มมีผลบังคับใช้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศพักการเก็บภาษีดังกล่าวเป็นเวลา 90 วัน แต่ประเด็นดังกล่าวก็ได้สร้างความตื่นตระหนก และความไม่แน่นอนในอนาคต
"ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรงทันทีหลังการประกาศมาตรการภาษีใน “วันปลดแอก” เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจยืดเยื้อ โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า แต่กลับสร้างความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แม้ตลาดจะฟื้นตัวระยะสั้นหลังจากการพักการเก็บภาษีตอบโต้ แต่การเก็บภาษีร้อยละ 10 สำหรับสินค้าทุกรายการยังคงเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ทำให้บริษัทต่างๆ ยังคงระมัดระวังในแผนธุรกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลง ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุน"
จากสถานการณ์ดังกล่าว ในระยะสั้นทิศทางของตลาดโลกจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆ จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะยังคงเปราะบาง จากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยการเทขายในตลาดรอบล่าสุดมีต้นเหตุหลักจากการประกาศนโยบายด้านภาษีสินค้านำเข้า หากตลาดยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่ออำนาจการเจรจาของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงท่าทีในเชิงอ่อนลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงนี้ตลาดจะยังคงผันผวน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า สถานการณ์อาจเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ เช่น การลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ มีผลในทางปฏิบัติ นโยบายเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวได้
ด้านกลยุทธ์การจัดพอร์ตแนะนำให้ใช้ที่ระมัดระวัง ป้องกันความเสี่ยง และมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อรับมือกับความผันผวนในระดับสูง โดยกลยุทธ์หลักที่ควรพิจารณา ได้แก่
ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว: กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ หลายภูมิภาค และหลากหลายอุตสาหกรรม
ให้ความสำคัญกับการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่ม Core : ใช้กลยุทธ์ถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging :DCA) เพื่อสร้างการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์คุณภาพ
ตราสารหนี้เพื่อความมั่นคง: ตราสารหนี้ระดับลงทุนได้ (Investment Grade) จะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความผันผวนจากตลาดหุ้น
หุ้นปันผล: เลือกบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานดีและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากเงินเฟ้อและสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง: ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะแก่การกระจายความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงและความเสี่ยงด้านค่าเงิน
ด้านโอกาสการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Tactical Opportunities):
จีน: แม้เผชิญกับแรงกดดัน แต่ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นและมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุน
หุ้นกลุ่มการเงินในประเทศพัฒนาแล้ว: อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลที่น่าสนใจ ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหารายได้ประจำ