ซีอีโอไบแนนซ์ชี้นโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตของทรัมป์ช่วยกระตุ้นการยอมรับคริปโต เผยบริษัทได้รับการติดต่อจากรัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหลายแห่งที่ต้องการกำหนดนโยบายคริปโตและจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์
ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ของอังกฤษเมื่อวันพฤหัสฯ (17 เม.ย.) ริชาร์ด เทง ซีอีโอไบแนนซ์ ย้ำว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการยอมรับคริปโตกระตุ้นให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ เจริญรอยตาม
เขายังบอกอีกว่า ขณะนี้ไบแนนซ์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้รับการติดต่อและกำลังให้การสนับสนุนรัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงกองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐหลายแห่ง ในการวางนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลและกองทุนสำรองคริปโต
ตัวอย่างเช่นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลปากีสถานและคีร์กีซสถานประกาศเจตนารมณ์ในการร่วมงานกับไบแนนซ์และฉางเผิง จ้าว อดีตซีอีโอของบริษัท เพื่อร่างนโยบายคริปโต อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศไม่ได้ระบุชัดเจนว่า มีแผนจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโตหรือไม่
ซีอีโอไบแนนซ์อธิบายว่า คุณสมบัติของบิตคอยน์ในการเป็นสินทรัพย์ไร้พรมแดนที่พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง และมีกลไกการทำงานที่เป็นอิสระจากระบบการเงินหรือการเมือง ดึงดูดความสนใจของประเทศต่างๆ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ตึงเครียดยิ่งขึ้น
เขายังเตือนว่า ประเทศและบริษัทที่ซื้อบิตคอยน์แต่เนิ่นๆ จะได้รับประโยชน์จากวงจรขาขึ้น ส่วนพวกที่ตัดสินใจช้าอาจต้องจ่ายแพงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากหลายประเทศลงมือพัฒนากฎระเบียบเพื่อนำทางกิจกรรมคริปโตของตนเอง ซึ่งได้แรงกระตุ้นจากการอ้าแขนรับสกุลเงินดิจิทัลของผู้นำสหรัฐฯ
ทั้งนี้ นับจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารให้จัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะอัดฉีดจากบิตคอยน์ที่รัฐบาลยึดมาได้จากคดีอาญาและคดีแพ่ง
ปัจจุบัน อเมริกาครอบครองคริปโตที่รวมถึงบิตคอยน์รวมมูลค่า 17,100 ล้านดอลลาร์
บรรดาผู้สนับสนุนคริปโตเชื่อว่า อเมริกาควรถือครองบิตคอยน์เพิ่ม และใช้สินทรัพย์ดิจิทัลสกุลนี้เป็นตัวเลือกแทนดอลลาร์
ที่ผ่านมา กองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ของอเมริกาประกอบด้วยน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ และการตัดสินใจจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์บ่งชี้ว่า หน่วยงานกำกับดูแลมองคริปโตแง่บวกมากขึ้น
นโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตของทรัมป์ทำให้จุดยืนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของรัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลง และชักนำให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) ระงับการสืบสวนการดำเนินการของไบแนนซ์
ขณะเดียวกัน ไบแนนซ์ได้เปลี่ยนจุดยืนดั้งเดิมในการงดจัดตั้งสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการ โดยเทงเผยว่า บริษัทกำลังเล็งเปิดสำนักงานใหญ่ระดับโลกเป็นการถาวร โดยขณะนี้ผู้บริหารระดับสูงกำลังประเมินตัวเลือกต่างๆ อย่างระมัดระวัง
อนึ่ง ในปี 2019 จ้าวเคยประกาศว่า สำนักงานและสำนักงานใหญ่เป็นแนวคิดล้าสมัยแบบเดียวกับ SMS และ MMS
นอกจากนั้น จากที่เคยถูกมองเป็นผู้เล่นที่ดื้อดึงในแวดวงคริปโตและเคยถูกหลายประเทศตรวจสอบเข้มงวดเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ไบแนนซ์ได้รีแบรนด์ตัวเองเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นอันดับแรก โดยพนักงานในแผนกนี้มีจำนวนถึงราว 1,500 คน จากทั้งหมด 6,000 คน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไบแนนซ์สามารถฟื้นความไว้วางใจในหมู่หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก