ผลงานหุ้นค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์โดดเด่นสวนภาษี “ทรัมป์” หลังกดดันหุ้นส่งออกดิ่ง เหตุเติบโตตามอุปสงค์การบริโภคในประเทศ ยก CPALL และ AP โดดเด่นสุดในกลุ่ม จากความสามารถควบคุมต้นทุนการเงินที่มีประสิทธิภาพ แถมปันผลดี
แม้การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังสหรัฐ ถูกเรียกเก็ยภาษีเพิ่มตามนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์”ที่ 36% จะสร้างความวิตกกังวลให้นักลงทุนจนเกิดการเทขายหุ้นไทยออกมาในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน และยังมีท่าทีลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นที่มีการส่งออกสินค้าของบริษัทไปยังสหรัฐฯ
แต่ในผลกระทบด้านลบที่กำลังกดดันตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังมีมุมบวกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนด้วยเช่นกัน เมื่อมีการคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะสร้างผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงแค่ในวงจำกัด เนื่องจาก ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยราคาปรับลงมามากแล้ว และยังมีหุ้นหลายกลุ่มที่มองว่าน่าจะเป็นแหล่งพักเงินที่มีความปลอดภัย แม้การขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐที่มีต่อไทย 36% จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออกสินค้าซึ่งมีสัดส่วนอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของ GDP
นั่นเพราะสัดส่วนผู้ส่งออกในตลาดหลักทรัพย์มีน้ำหนักไม่มากในตลาดหุ้นไทย โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก และเมื่อพิจารณาจาก ความสัมพันธ์ของหุ้นโลก พบว่าดัชนี Set Index อยู่ในระดับต่ำมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงมีการคาดการณ์ Set Index ในไตรมาสที่ 2 ไว้ที่เดิม คือ แนวบริเวณ 1,150 จุดและ 1,100 จุด เท่ากับช่วงต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 และเชื่อว่าSet Index จะปรับตัวลดลงจากนี้ไม่มากนัก
นอกจากนี้ เมื่อตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอน หรือมีความผันผวนสูง จะสร้างโอกาสในการซื้อขายระยะสั้นสำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญและรับความเสี่ยงได้ โดยหากราคาหุ้นปรับตัวลงมากเกินปัจจัยพื้นฐาน ก็อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นศักยภาพในอนาคต
จากสถานการณ์ดังกล่าว พบบางบริษัทที่มีความสามารถในการปรับตัวที่ดี สามารถลดต้นทุน หาตลาดใหม่ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และอาจยังคงสร้างผลกำไรได้แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย จนกลายเป็นหุ้นที่อัตราการเติบโตได้อย่างน่าสนใจแต่มีราคาที่ถูกในเวลานี้
ขณะเดียวกัน พบว่า ในช่วงเวลานี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลับได้รับคำแนะนำ “ลงทุน” จากนักวิเคราะห์มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มพึ่งพิงกำลังซื้อภายในประเทศเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯโดยตรง
กลุ่มค้าปลีกน่าสนใจ
การลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจ เนื่องจากการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นรายตัวยังคงมีความสำคัญ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ผลประกอบการของบริษัท แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ และราคาหุ้นที่เหมาะสม
โดย หุ้นค้าปลีกที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าน่าสนใจ ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL ) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Lotus's มีศักยภาพในการเติบโตจากธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภค
ถัดมาคือ บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีธุรกิจค้าปลีกที่หลากหลายทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้าเฉพาะทาง และออนไลน์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว , บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ผู้บริหารห้างค้าปลีก Big C มีโอกาสเติบโตตามการบริโภคที่เพิ่มขึ้น และการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
บมจ.โฮม โปรดักส์ (HMPRO) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าบ้านและก่อสร้าง มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL ) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน มีโอกาสเติบโตตามการขยายตัวของเมืองและการลงทุนในโครงการต่าง
บมจ.ดูโฮม (DOHOME) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่าง และของตกแต่งบ้าน มีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ,บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ผู้จำหน่ายสินค้าไอที มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการเทคโนโลยีและสินค้าดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้า คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจฟื้น ปัจจัยบวกหุ้น
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจ นั่นเพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ แม้ธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและสร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่การเปลี่ยนแปลงของกำลังซื้อของผู้บริโภคมีผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีก และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทและกำลังซื้อของผู้บริโภค
ทั้งนี้ มีการประเมินว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีกนั้น จะได้รับผลกระทบทางตรงน้อยกว่าหุ้นในกลุ่มส่งออก จากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีรายได้หลักจากการขายสินค้าและบริการภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม อาจมีผลกระทบทางอ้อมบ้าง เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากการส่งออกที่ลดลง
ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แม้ว่าการดำเนินการอาจมีการปรับเปลี่ยน แต่แนวคิดของการให้เงินประชาชนเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับท้องถิ่น ย่อมส่งผลบวกต่อยอดขายของร้านค้าปลีกต่างๆ
รวมไปถึงการให้เงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง หรือมาตรการเฉพาะกลุ่มอื่นๆ ก็มีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อและส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น กำลังซื้อของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อีกทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่ใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งรวมถึงการซื้อสินค้าต่างๆ ในร้านค้าปลีก และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จะช่วยลดภาระทางการเงินของประชาชนและภาคธุรกิจ ทำให้มีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายมากขึ้น
CPALLแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ พบว่า CPALL ถือเป็นหุ้นที่ได้รับมุมมองเชิงบวกจากนักวิเคราะห์มากที่สุดในช่วงเวลานี้ โดยมองว่าเป็นหุ้นค้าปลีกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะการฟื้นตัวของ SSSG (Same Store Sales Growth) พบว่าการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมในธุรกิจต่างๆ ของ CPALL ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์ติดตาม รวมถึงความสามารถในการควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนจะมีผลต่ออัตรากำไรของบริษัท ขณะที่แผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของ 7-Eleven และ Lotus's ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว
ส่วนปัจจัยสนับสนุน นั้นมาจากมาตรการต่างๆ เช่น Easy E-Receipt และโครงการ Digital Wallet (หากมีการดำเนินการ) คาดว่าจะส่งผลบวกต่อยอดขาย ทำให้มองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว ขณะที่บางส่วนอาจมองว่าราคาค่อนข้างตึงตัว โดยส่วนใหญ่ให้คำแนะนำอยู่ในช่วง "ซื้อ" (Buy), "ถือ" (Hold/Neutral) หรือ "ซื้อเก็งกำไร" (Trading Buy) ส่วนราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 75 บาท
มีการคาดว่า CPALL จะมีกำไรสุทธิปี 2568 เพิ่มขึ้น 17.8% จากปีก่อน อยู่ที่ 29,869 ล้านบาท บนสมมุติฐานรายได้รวม เพิ่มขึ้น 6.1% ตามการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ คาดกำไรสุทธิ ปี 2569 เพิ่มขึ้น 5.5% เทียบปีก่อน อยู่ที่ 31,525 ล้านบาท บนสมมุติฐานรายได้รวม เพิ่มขึ้น 5.6% ตามการขยายสาขาใหม่ของธุรกิจ 7-Elevenเพิ่มขึ้น 740 สาขา
อสังหาฯปีนี้ ยังท้าทาย
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยมีปัจจัยกดดัน เช่น การฟื้นตัวของกำลังซื้อที่ยังช้า ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเร็ว ๆ นี้
ปัจจุบัน พบว่า ผู้ประกอบการหลายรายอาจยังคงมุ่งเน้นไปที่การระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยคงค้าง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ นโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เชื่อว่าจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนหรือกดดันภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการต่ออายุหรือออกมาตรการใหม่ เช่น การลดหย่อนภาษี หรือการสนับสนุนสินเชื่อ จะเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
โดยตลาดระดับบนพบว่ายังคงมีความต้องการ ในขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่างอาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอมากกว่า ทำให้ภาพรวมยังมีโอกาสในการลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์บางบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการบริหารจัดการที่ดี และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้
จากปัจจัยดังกล่าว นำไปสู่คำแนะนำของนักวิเคราะห์ที่เน้นให้เน้นลงทุนในหุ้นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสถานะทางการเงินมั่นคง กระแสเงินสดดี และมีความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี เช่น บมจ.แสนสิริ (SIRI) และ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP)
ขณะเดียวกันหุ้นอสังหาริมทรัพย์บางตัวอาจมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่เน้นการรับเงินปันผล แม้ว่ากำไรอาจไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่การจ่ายปันผลที่สม่ำเสมออาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ,บมจ.ศุภาลัย (SPALI),บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ,บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) , บมจ.พฤกษาโฮลดิ้ง (PSH), บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN)รวมไปถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะบริษัทที่พัฒนาโครงการในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต อาจได้รับประโยชน์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่เพียงเท่านี้ บางบริษัทอาจมีแผนการเติบโตที่น่าสนใจในระยะยาว เช่น การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ หรือการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในอนาคต
แผ่นดินไหวกระทบจำกัด
อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคาร โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกมา และหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ หุ้นที่มีสัดส่วนโครงการคอนโดมิเนียมสูง
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอาคารสูง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น แต่ความกังวลและความไม่มั่นใจดังกล่าว จะส่งผลให้ยอดขายล่วงหน้า (Pre-sales) ของโครงการคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้า 36% ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทย (ซึ่งเป็นประเด็นที่คุณเคยสอบถามเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มค้าปลีก) มายังหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบโดยตรงคาดว่าจะค่อนข้างจำกัด เนื่องจากธุรกิจหลักของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทยคือการพัฒนาและขายอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงงาน หรือพื้นที่ค้าปลีก รายได้หลักจึงมาจากลูกค้าในประเทศ
แต่หากการขึ้นภาษีส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยโดยรวม ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ขณะเดียวกัน หากสินค้าที่ถูกขึ้นภาษีเป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (แม้จะไม่โดยตรง) อาจส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้ว วัสดุก่อสร้างหลักมักมาจากภายในประเทศหรือภูมิภาคใกล้เคียง
ดังนั้นภาพรวมแล้ว มาตรการขึ้นภาษีนำเข้า 36% ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทย คาดว่าจะมีผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างน้อย
จากข้อมูลข้างต้นทำให้ AP กลายเป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้ เนื่องจาก AP ได้รับการยกย่องในด้านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การควบคุมต้นทุนที่ดี และการมีสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของตลาดหลายกลุ่ม มีการเติบโตของยอดขายและผลกำไรที่สม่ำเสมอ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า AP มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและสามารถรับมือกับความท้าทายของตลาดได้ดี
ถัดมาคือ SIRI เป็นอีกหนึ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีการปรับตัวที่ดี มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง มีการเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศบ้าง นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า SIRI มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังรวมถึง LH เนื่องจากมีความโดดเด่นในตลาดบ้านแนวราบ และมีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวและต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผล รวมถึง SPALI ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจที่มั่นคง มีการกระจายความเสี่ยงของโครงการในหลายทำเล และมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย มีการควบคุมต้นทุนที่ดี และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยในการลงทุน และ CPN แม้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าเป็นหลัก แต่ก็มีโครงการที่อยู่อาศัย (คอนโดมิเนียม) ที่เชื่อมโยงกับศูนย์การค้า ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาของนักท่องเที่ยว การเติบโตของธุรกิจศูนย์การค้าจะช่วยสนับสนุนกระแสเงินสดและผลประกอบการโดยรวม
โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นเหล่านี้ คือ หากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลบวกต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและความต้องการอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับมาตรการต่างๆ ที่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดหย่อนภาษี หรือการสนับสนุนสินเชื่อ จะเป็นปัจจัยบวก อีกทั้ง หากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลง จะช่วยลดภาระของผู้ซื้อบ้านและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อรวมไปถึงการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลต่างๆ และส่งผลดีต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว
สำหรับราคาหุ้น AP ปิดล่าสุดที่ 7.55 บาท ปรับตัวลง -0.15 บาท หรือ -1.95% ภาพรวมนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมีมุมมอง "ซื้อ" หรือ "Outperform" ต่อหุ้น AP โดยมองว่าเป็นหนึ่งในหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการบริหารจัดการที่ดี และมีศักยภาพในการเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยประเมินว่าผลประกอบการในปี 2568 จะยังคงเติบโตได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าปีก่อนหน้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่ยอดขายยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์ติดตาม โดยมองว่า AP ยังคงมีความสามารถในการทำยอดขายได้ดีในหลาย Segment นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต
ไม่เพียงเท่านี้ AP ยังเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสด ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและรักษาอัตรากำไรที่ดี ทำให้ ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์สำหรับ AP ในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 10.54 บาท โดยมีช่วงราคาเป้าหมายตั้งแต่ 8.10 บาท ถึง 12.80 บาท ซึ่งบ่งชี้ถึงอัพไซด์ที่น่าสนใจจากราคาปัจจุบัน ซึ่งคำแนะนำส่วนใหญ่ยังคงเป็น "ซื้อ" หรือ "Outperform" เพราะมองว่า AP ยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในระยะกลางถึงยาว