โบรกเกอร์ แนะลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play - Defensive หลบภัยกำแพงภาษีโดนัลด์ ทรัมป์ เน้น 3 กลุ่มหลัก โรงพยาบาล โทรคมนาคม ธนาคารและไฟแนนซ์ รวมทั้งหุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX และหุ้น Undervalued โดยเลือกหุ้น SET100 ตลอดจน หุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันและดอกเบี้ยขาลง แต่ให้หลักเลี่ยงกลุ่มส่งออกที่มีสัดส่วนไปยังสหรัฐสูง - กลุ่มพลังงานและปิโตร และกลุ่มโรงไฟฟ้า
อินโนเวสทท์ แนะ Selective Buy 2 ธีมหลัก - 1 ธีมเทรดดิ้ง
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงจากนโยบายการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัปม์ ว่า ทําให้ความผันผวนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มจะเอียงไปทางด้าน Downside โดยเฉพาะช่วงที่มีการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเพิ่มเติม (ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีจีนเป็น 104%)
กลยุทธ์ลงทุนแนะนําให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกําไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงิน แกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ปันผล อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
2. หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกําไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ปันผลอย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนํา MTC MINT BJC CPF
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกําไรภายใต้สงคราม การค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนํา หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความ ผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกําหนดราคาและส่งผ่านต้นทุน ที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนําหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้า เกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
ฟินันเซียฯ ให้มุมมองเชิงบวกหุ้น Domestic - Defensive
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ยังคงให้มุมมองเชิงบวกต่อหุ้น Domestic และ Defensive ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจํากัด และมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงโอกาสสูงในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ในปีนี้
ทั้งนี้หุ้นที่จะปรับตัวได้แข็งแกร่งและกระทบจํากัดจากประเด็นดังกล่าว ได้แก่ ADVANC, BDMS, CPALL, CPN, GULF, MTC, NSL, PR9 และ SEAFCO
อย่างไรก็ดี บริษัทปรับลด SET Target เหลือ 1,180 จุด จาก 1,390 จุด (อิงEPS 84 บาท และ PER 14 เท่า) จากผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและกําไรบจ.จากผลของ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ 37% หากใช้ PER ต่่ำสุดช่วงโควิดที่ 12.2 เท่า จะหมายถึง downside ของดัชนีที่ ประมาณ 1,025 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับ BV ปี 2025 และคิดเป็น P/BV ราว 1 เท่า ดังนั้นมองว่าการปรับฐานของดัชนียังเป็นโอกาสในการสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว จากระดับมูลค่าที่น่าสนใจ
CGSI เชียร์หุ้นโรงพยาบาล-โทรคมนาคม-แบงก์-ไฟแนนซ์
บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมินว่า แม้รัฐบาลจะยังไม่มีกำหนดวันเดินทางไปเจรจากับสหรัฐ แต่มีแนวทางที่เตรียมไปเจรจา ได้แก่ 1) การหาโอกาสนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าจะเป็นประโยชน์กับหุ้นอย่าง CPF อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องพิจารณาถึงการปกป้องผลประโยชน์ เกษตรกรในประเทศด้วยเช่นกัน 2) การผ่อนคลายการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 3) การลดขั้นตอน NTBs 4) การตรวจสอบคัดกรองสินค้าป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐจากประเทศอื่น และ 5) การหาโอกาสการลงทุนในสหรัฐ
คงคำแนะนำหุ้น Domestic Play 1) กลุ่ม Defensive อย่างโรงพยาบาล (BH, PR9) ที่พื้นฐาน ยังคงแข็งแกร่งและราคาสะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่แล้ว 2) กลุ่มโทรคมนาคม (ADVANC) 3) กลุ่ม Food (BJC) ที่ Outlook สดใส 4) กลุ่มธนาคาร (SCB, KTB, TISCO) ที่ High dividend yield นอกจากนี้ เรามองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรถยนต์และค้าปลีกสูงจะได้รับผลกระทบ น้อยกว่ากลุ่มลูกค้าองค์กร หลังยอดจองซื้อรถยนต์งาน Motor show 2025 เพิ่มขึ้น 45% yoy และ 5) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC) จากแนวโน้มที่ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ขณะที่หลีกเลี่ยง 1) กลุ่มส่งออกที่มีสัดส่วนไปยังสหรัฐสูง อย่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (เรามองว่า Hana เป็นหุ้นปลอดภัยเพราะสถานะเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งจะช่วยป้องกัน downside) และกลุ่ม ส่งออกอาหาร (ITC, TU) 2) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากการลุงทุนต่างชาติที่ชะลอตัว 3) กลุ่ม พลังงานและปิโตรเคมีจากอุปสงค์น้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่อ่อนตัว 4) กลุ่ม Discretionary ที่อาจ ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง และ 5) กลุ่มโรงไฟฟ้าหลังครม. มีมติลดค่าไฟ