"ซีอีโอเจพีมอร์แกน" ชี้นโยบายภาษีของทรัมป์จ่อซ้ำเติมเศรษฐกิจ เตือนแรงกระแทกต่อพันธมิตรโลก-ตลาดการเงิน อาจดันเงินเฟ้อพุ่ง กดการเติบโตทรุด และทำลายความเชื่อมั่นอย่างถาวร
เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งเจพีมอร์แกน ส่งสัญญาณเตือนแรงผ่านจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น ระบุว่านโยบายภาษีศุลกากรของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเมื่อรวมกับความตึงเครียดด้านการค้าและการเงินที่กำลังปะทุขึ้นเรื่อย ๆ
ไดมอนชี้ว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายศุลกากรล่าสุดของทรัมป์เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ตั้งแต่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ผลกระทบต่อการลงทุน ไปจนถึงความผันผวนของกระแสเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
"ผลกระทบเหล่านี้จะสะสมเป็นวงกว้าง ยิ่งใช้เวลานานเท่าใด ผลเสียยิ่งฝังลึกและยากจะย้อนกลับได้" ไดมอนกล่าว พร้อมกันนี้เขายังกล่าวเสริมว่า "ในระยะสั้น มาตรการนี้อาจเป็นฟางเส้นใหญ่ที่หักหลังอูฐ" – เปรียบเปรยนโยบายดังกล่าวว่าอาจเป็นจุดแตกหักของเศรษฐกิจโลก
ไดมอนยังแสดงความกังวลต่อพันธมิตรทางเศรษฐกิจดั้งเดิมของสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบทางลบจากนโยบายกีดกันทางการค้านี้ และเตือนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจสั่นคลอนความสัมพันธ์ระยะยาว
ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า โดยมีแผนจะปรับเพิ่มภาษีกับจีนจาก 34% เป็น 50% ในวันที่ 9 เมษายนนี้ แม้จะเผชิญเสียงวิจารณ์จากแวดวงการเงินทั่วโลก
ทั้งนี้ผลกระทบได้เริ่มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ล่าสุดตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเผชิญแรงขายอย่างหนักโดยบิทคอยน์ร่วงแตะระดับต่ำกว่า 75,000 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันจันทร์ ก่อนจะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ราว 78,000 ดอลลาร์ในช่วงบ่าย ขณะที่ราคาทรุดตัวลงกว่า 4.3% ในรอบ 5 วันที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีรายงานว่าจีนได้เตรียมออกมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่มีแนวโน้มจะล่าถอยจากเกมการค้าอันดุเดือดนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ ความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินยังคงเปราะบาง และโลกทั้งใบกำลังจับตามองว่า มรสุมเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าของทรัมป์จะจบลงที่จุดใด