ตลาดคริปโตเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนหลังสงครามภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ-จีนปะทุ นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนก หวั่นเศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะที่บิทคอยน์ทรุดหนักต่ำสุดในรอบ 5 เดือน การเทขายทำลายสถิติ และสัญญาณภาวะตลาดขาลงเริ่มส่งกลิ่นชัดเจน
ตลาดคริปโตทรุดฮวบ หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนลุกลามอย่างรวดเร็ว นักลงทุนทั่วโลกเร่งหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ท่ามกลางความหวั่นเกรงว่าเศรษฐกิจโลกกำลังร่วงเข้าสู่ภาวะถดถอย
เมื่อวันที่ 7 เมษายน ตลาดคริปโตมูลค่ารวมลดลงกว่า 10% จากระดับสูงสุดที่ 2.41 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในช่วง 24 ชั่วโมงพุ่งทะยานถึง 293% ทะลุ 165,050 ล้านดอลลาร์ สะท้อนภาวะตื่นตระหนกและแรงเทขายที่รุนแรง
ปัจจัยหลักมาจากการยืนยันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรแบบไร้ข้อยกเว้น สร้างแรงกระเพื่อมทั้งในตลาดหุ้นและตลาดคริปโต จนนำไปสู่การชำระบัญชีครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ Web3
บิทคอยน์เจอแรงกระแทกหนักร่วงทะลุ 75,000 ดอลลาร์
บิทคอยน์ ร่วงแตะระดับ 74,434 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ขณะที่ Ether ดิ่งต่อเนื่อง 3 วันติด ลงต่ำสุดที่ 1,400 ดอลลาร์ ภายในวันเดียวสูญเสียมูลค่ากว่า 16% เช่นเดียวกับ XRP, Solana และ BNB Chain ที่ร่วงหนัก 15.5%, 15.3% และ 8% ตามลำดับ
ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อทวีความรุนแรงมากขึ้น โดย Bill Ackman นักลงทุนชื่อดัง เตือนว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ” และจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด โอกาสการลดดอกเบี้ย 0.25% พุ่งขึ้นจาก 14% เป็น 42% ในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
มูลค่าการชำระบัญชีทะลุ 1.4 พันล้านดอลลาร์ ทำตลาดทุนลุกเป็นไฟ
การล่มสลายของตลาดคริปโตในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นำไปสู่การชำระบัญชีมูลค่ากว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ โดย 1.22 พันล้านดอลลาร์มาจากตำแหน่ง Long การเทขายขนาดใหญ่นี้สะท้อนถึงแรงกระแทกคล้ายช่วงวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ล่มสลายของ FTX
ผู้เล่นกว่า 460,996 รายถูกปิดสถานะ โดยเฉพาะดีลบน OKX ที่มีการแลกเปลี่ยน BTC/USD มูลค่าถึง 7 ล้านดอลลาร์ในดีลเดียว จุดกระแสตื่นตระหนก และเพิ่มแรงกดดันต่อราคาทั้งระบบ
มูลค่าหายวับกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ใน 3 วัน
ข้อมูลจาก Cointelegraph Markets Pro และ TradingView ชี้ว่า มูลค่าตลาดรวมของคริปโต (TOTAL) ร่วงจากระดับสูงสุด 2.67 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 5 เมษายน ลงมาแตะจุดต่ำสุดที่ 2.31 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่ 7 เมษายน
ทั้งนี้นับเป็นการสูญเสียมูลค่ากว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 72 ชั่วโมง แม้ว่ามูลค่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาที่ระดับ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ณ เวลาที่เขียนข่าวนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนธันวาคมปีที่แล้วที่ระดับ 3.73 ล้านล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์เตือนว่า หากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างมหาอำนาจโลกยังคงยืดเยื้อ ราคาสินทรัพย์เสี่ยงอาจเผชิญแรงกดดันระลอกใหม่ที่รุนแรงยิ่งขึ้น