เป็นกระแสอยู่บนหน้าสื่อทั้ง สื่อออนไลน์ สื่อโซเชียลมีเดีย และแพดฟอร์มอย่างต่าง ๆ บนโลกออนไลน์มากเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว สำหรับโปรเจ็กต์การซื้อหี้นประชาชนจากสถาบันการเงินของภาครัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดตัวเลขหนี้ครัวเรือนในระบบที่กระโดดขึ้นไปสูงเกินกว่า 90% ซึ่งมีผลต่อการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล ดังนั้น ไอเดียในการซื้อหนี้ประชาชน เพื่อลดตัวเลขหนี้ครัวเรือนลงมาจึงได้รับการผลักดันจากกระทรวงการคลังอย่างแข็งขัน
ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงการซื้อหนี้ประชาชนจากสถาบันการเงินหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 ว่า รัฐบาลได้มีการหารือกับสมาคมธนาคารไทย ถึงการแก้ไขปัญหาหนี้เดิมโดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านโครงการ"คุณสู้ เราช่วย" รัฐบาลมีแผนจะออกมาตรการขั้นต่อไป หลังจากเจรจาลูกหนี้ ซึ่งมีคนเข้าสู่กระบวนการประมาณ 50% ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อบ้าน ขั้นต่อไปคือ การปรับโครงสร้างหนี้
ส่วนโครงการซื้อหนี้ประชาชน ซึ่งพบว่าปัจจุบบัน มีหนี้ครัวเรือน 13 ล้านล้านบาท ที่ไม่รวมหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ คิดเป็น 9 ล้านบัญชี ลูกหนี้ประมาณ 5 ล้านคน พบว่า เป็นกลุ่มที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท คิดเป็น 35% ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีอยู่ 1.2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคและบัตรเครดิต ซึ่งสถาบันการเงิน ได้ตั้งสำรอง 100% แล้ว
โดยขณะนี้กำลังพิจารณาหาแนวทางดึงหนี้ส่วนนี้ออกมาบริหารจัดการ เจ้าหนี้ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ เพราะหนี้ตรงนี้มีการชำระต่ำ และต้นทุนแทบไม่มีแล้ว นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหาแนวทางปลดล็อกจากเครดิตบูโร คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายใน 3-6 เดือน
อนึ่งในการซื้อหนี้ประชาชนจากสถาบันการเงินนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหน่วยงานกลางในการรับผิดชอบในการบริหารจัดการหนี้ของประชาชนที่จะซื้อจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งก็คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC ซึ่งรัฐบาลจะต้องดำเนินการจัดตั้งขึ้นมา และการหาแหล่งเงินที่จะใช้ในการซื้อหนี้ประชาชนจากแบงก์ ทั้งนี้หากโครงการเกิดขึ้นจริงนอกจากจะช่วยลดตัวเลขหนี้ครัวเรือในระบบ และ อานิสงส์ที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ คือ การผ่อนปรนความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินต่างๆ เนื่องจากตัวเลขหนี้ในระบบเริ่มลดลงหรืออยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า แนวความคิดการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของรัฐบาลเพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบสถาบันการเงินอาจจะยังไม่ชัดเจน
ณ ตอนนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นแนวความคิดในการช่วยเหลือคนไทยที่เป็นหนี้ให้กลับมาใช้ชีวิตหรือมีช่องว่างในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น รวมไปถึงช่วยให้สถาบันการเงินต่างๆ สามารถลดภาระในการแบกรับภาระหนี้เสีย หรือNPL ของตนเอง
แต่อย่างไรก็ตามคงต้องดูในรายละเอียดทั้งในเรื่องของราคาของมูลหนี้ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลจะซื้อโดยจะซื้อในราคาหนี้หรือในราคาที่มีส่วนลดพิเศษ หรือ เป็นราคาบังคับขาย รวมไปถึงจะซื้อเฉพาะหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายหรือหนี้ส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิตต่างๆ หรือรวมไปถึงหนี้ที่มีหลักประกันซึ่งจะมีทั้งหนี้ที่อยู่อาศัย หนี้รถยนต์ หนี้รถจักรยานยนต์ หนี้ธุรกิจ เป็นต้น
ปัญหาของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน คือ เรื่องของหนี้ครัวเรือนที่ฉุดการใช้จ่ายภาคครัวเรือนของคนไทยให้ลดลง
ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวมาต่อเนื่องยาวนาน และมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในอัตราที่แทบไม่แตกต่างจากประเทศขนาดเล็กอื่นๆ ในยุโรป หรือประเทศที่พัฒนาแล้วมีมูลค่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงๆ หรือประเทศที่มีภาระหนี้สินเยอะๆ เลย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยยังอยู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีช่องว่างให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากๆ
เพียงแต่ปัจจัยหลายๆ อย่างของประเทศไทยพึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป
ทั้งเรื่องของรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งออกสินค้าที่แทบไม่แตกต่างจากช่วง 10 – 20 ปีก่อนหน้านี้เลย ไม่มีเครื่องจักรในการผลิตรายได้ใหม่อื่นๆ เข้ามาในระบบ การลงทุนจากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากแบบในอดีตอีกแล้ว ประเทศไทยได้เงินจากภาคอุตสาหกรรมเพียงส่วนหนึ่งของรายได้นักลงทุน หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นทุกปีมีผลเสียต่อระบบของสถาบันการเงินในระยะยาวด้วยเช่นกัน เพราะสถาบันการเงินต้องตั้งสำรองหนี้เสียมารองรับปัญหาหนี้ต่อเนื่องทุกปี
นายสุเชษฐ กล่าวว่า การจะสร้างรายได้ของคนในประเทศให้มากขึ้น จำเป็นต้องหารายได้เข้าประเทศให้มาก และทำให้เงินส่วนนั้นหมุนเวียนในระบบของประเทศให้ได้มากและนานที่สุด ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ข้อยกเว้นทางภาษีเพราะลงทุนผ่านBOI หรือนิติบุคคลต่างๆ ก็มีข้อยกเว้นทางภาษีเก็บภาษีได้ลดน้อยลงไป ภาษีหลายๆ อย่างของชาวต่างชาติก็ไม่แตกต่างจากคนไทย เช่น ค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ ภาษีรายได้ส่วนบุคคล เป็นต้น รายได้จากการท่องเที่ยวก็ไม่ได้มากมายเหมือนในอดีต
อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามเที่ยวใฝนประเทศไทยใช้จ่ายเงินลดลง กระแสการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเองเพื่อลองอะไรใหม่ เริ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลดีต่อสถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัด และคนในชุมชน แต่ก็เป็นเงินจำนวนน้อยมากๆ การส่งออกสินค้าบางอย่างมีปัญหาจากเรื่องกำแพงภาษีหรือการซื้อสินค้าลดลงทำให้การผลิตลดลง เกิดการเลิกจ้างงาน และปิดโรงงานไปจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมไปถึงค้าแรงงงานที่สูงก็มีผลต่อการเกิดใหม่ของโรงงานที่ใช้แรงงานจำนวนมาก การจะไปหารายได้จากเรื่องต่างๆ เหล่านี้ดูแล้วทำได้ยาก และเกี่ยวกับประเทศคู่ค้ารวมไปถึงนักลงทุนต่างประเทศด้วย ดังนั้น การกระตุ้นกำลังซื้อคนในประเทศน่าจะเป็นทางออกที่รัฐบาลทำได้ง่ายและเร็วที่สุด
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะซื้อหนี้เสียโดยใช้บริษัทบริหารสินทรัพย์ซื้อไปจะมีผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนในระบบจะลดลง สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นผลดีกับรัฐบาล ในแง่ของการใช้จ่ายค่าอุปโภค บริโภคของคนในประเทศส่วนหนึ่งจะดีขึ้น มีการใช้เงินมากขึ้น เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรายได้นิติบุคคล ภาษีรายได้ส่วนบุคคลที่รัฐบาลจัดเก็บได้จะมากขึ้น เพราะเมื่อคนมีภาระหนี้สินต่อเดือนลดลงจะมีเงินเพิ่มมาใช้จ่ายมากขึ้น
แม้ว่าการแก้ปัญหาจริงๆ อยู่ที่คนที่เป็นหนี้มีรายได้มากขึ้นสามารถจ่ายทั้งหนี้และใช้จ่ายรายเดือนได้โดยไม่กระทบ
แต่การเพิ่มรายได้ครัวเรือนอาจจะทำได้ยากกว่า ดังนั้น การลดภาระหนี้สินแบบทันทีหรือการเข้าไปช่วยเหลือให้มีภาระลดลงก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าหนี้เสียที่บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งนี้ซื้อไปนั้นจะหายไปจากภาระของประชาชน คนที่เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้อยู่ เพียงแต่ได้รับการประนีประนอม ยืดหยุ่นมากขึ้น อัตราการผ่อนชำระต่อเดือนอาจจะน้อยลง ระยะเวลาในการผ่อนชำระมากขึ้น
การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลแล้วเข้าไปซื้อหนี้เสียอาจจะไม่ใช่การลงทุนที่เห็นผลได้ในทันที
และอาจจะต้องรอเวลานาน แต่อาจจะเป็นเหมือนการกระตุ้นให้คนไทยส่วนที่ติดกับดักหนี้สินอยู่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอาจจะต้องดูเงื่อนไขของรัฐบาล และรูปแบบการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินประกอบด้วย เพราะถ้าซื้อเพียงแค่หนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันและมูลหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทก็คงไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอะไรมากนัก
โดยเบื้องต้นนั้นอาจจะช่วยให้คนที่เป็นหนี้เสียกลุ่มนี้มีความสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้คล่องตัวมากขึ้น รวมไปถึงถ้าไม่มีเงื่อนไขกำหนดก็อาจจะกลับมาสร้างหนี้ได้อีก เพราะคนที่เป็นหนี้เสียด้วยวงเงินเท่านี้ รายได้รายจ่ายต่อเดือนของพวกเขาไม่มากอยู่แล้ว คงกระตุ้นอะไรมากไม่ได้ เพียงแค่ลบออกจากระบบเครดิตบูโร เมื่อพวกเขาเข้มแข็งฃหรือมีรายได้มากขึ้นก็อาจจะกลับเข้าสู่การซื้อหรือสร้างภาระหนี้สินขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น แต่คงต้องใช้เวลา เพราะบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลไม่ได้มาใช้หนี้แทน และมูลหนี้ของแต่ละคนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ถ้าบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลซื้อหนี้เสียที่มีหลักประกัน เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ที่อยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ การบริหารจัดการหนี้เสียของกลุ่มนี้จะไม่เหมือนกลุ่มแรกที่ไม่มีหลักประกันเลย เพราะถ้าบริษัทใหม่นี้ซื้อในจำนวนมากก็อาจจะได้ราคาต่ำกว่ามูลหนี้ หรือเป็นราคาที่สถาบันการเงินต้องตัดขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ อยู่แล้ว เมื่อราคาต่ำก็จะมีช่องว่างให้พวกเขาบริหารจัดการได้สะดวกมากขึ้น คนที่สามารถเจรจาและผ่อนชำระกับอัตรา ระยะเวลาใหม่ได้ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน คนที่มีปัญหาและไม่สามารถผ่อนชำระได้แน่นอนทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็ต้องเลือกวิธีการจัดการหรือปิดชำระบัญชีไป
“นอกจากจะเคลียร์หรือตัดหนี้เสียออกจากระบบได้จำนวนมากแล้ว ยังมีส่วนช่วยสถาบันการเงินในการระบายหนี้เสียด้วย เพียงแต่อาจจะขัดแย้งกับทางบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว และซื้อหนี้เสียทที่มีหลักประกันกับทางสถาบันการเงินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การซื้อหนี้เสียที่มีหลักประกันจะสร้างแรงผลักดันต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าชัดเจน เพราะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบมากกว่าหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกัน”
นายสุเรชเษฐ กล่าวว่า การช่วยให้คนกลุ่มที่เป็นหนี้เสียสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เร็วมีผลดีต่อรัฐบาลแน่นอน เพียงแต่ต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อหนี้เสียด้วย ถ้าแบบไม่มีหลักประกันเท่านั้นก็อาจจะได้เพียงการใช้จ่ายในประเทศที่มากขึ้น
แต่ถ้าแบบมีหลักประกันอาจจะช่วยให้เกิดการขยายตัวทางด้านตลาดที่อยู่อาศัยถ้าคนที่เป็นหนี้เสียสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้
และกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มเติมหลักจากนั้น รวมไปถึงการที่คนที่มีหนี้เสียจากการดำเนินธุรกิจซึ่งถ้ารัฐบาลช่วยเหลือด้วยก็จะช่วยให้กิจการของเขาซึ่งอาจจะมีลูกจ้าง คู่ค้าที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยได้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น และสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นรายได้ของรัฐบาลผ่านระบบภาษีต่างๆ
การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ใช้เงินจำนวนมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินด้วย
ถ้าเฉพาะหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันคงใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ถ้าเป็นหนี้เสียแบบมีหลักประกันต้องใช้เงินมากกว่าหลายเท่าแน่นอน และต้องกำหนดขอบเขตรวมไปถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินกิจการของบริษัทใหม่นี้ด้วยว่าตั้งขึ้นเฉพาะกิจหรือต้องการผลักดันให้เป็นบริษัทที่มีรัฐบาลสนับสนุนแบบระยะยาวต่อไปเรื่อยๆ เลย ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่ชัดเจน รวมไปถึงต้องไม่ซ้ำซ้อนและต้องมีการแข่งขันที่เป็นธรรมหลังจากนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ จะมีปัญหาไปด้วย นโยบายนี้ ณ ปัจจุบันอาจจะยังไม่ชัดเจนในเรื่องของรายละเอียด แต่ถ้าทำได้และโปร่งใสจะช่วยให้คนไทยที่ตืดปัญหาเรื่องหนี้เสียสามารถกลับมาใช้จ่ายเงินได้มากขึ้นแน่นอน
จากข้อมูลของเครดิตบูโรล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2568 มีหนี้เสียที่ค้างชำระมากกว่า 90 วันเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.225 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้เสียในส่วนของสินเชื่อบุคคลมากถึง 2.84 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 23% ของหนี้เสียกลุ่มนี้ ถ้ารวมหนี้เสียจากบัตรเครดิตและกลุ่มนาโนไฟแนนซ์อีกก็จะมีมูลค่ารวมประมาณ 3.65 แสนล้านบาทหรือประมาณ 30% ของมูลค่ารวมของหนี้เสียกลุ่มนี้ ซึ่งถ้ารัฐบาลให้ความสนใจเฉพาะหนี้เสียกลุ่มที่ไม่มีหลักประกันก็จะมีกรอบวงเงินที่ไม่น่าจะมากกว่านี้
เพราะถ้ากำหนดไปที่รายละไม่เกิน 100,000 บาทก็น่าจะลดลงไปอีก
ทั้งนี้ การบริหารจัดการอาจจะไม่ยุ่งยากหรือใช้เวลาในการเจรจาในแต่ละรายไม่นาน แต่ถ้ารวมหนี้เสียของกลุ่มที่มีหลักประกันและไม่กำหนดกรอบวงเงินหนี้เสียของแต่ละรายก็อาจจะมากถึง 6.24 แสนล้านบาทหรือประมาณ 50% ของมูลค่าหนี้เสียกลุ่มที่ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน และการบริหารจัดการมูลหนี้ทั้งหมดอาจจะใช้เวลายาวนานหลายปีเลย สุดท้ายแล้วต้องดูที่นโยบายและแหล่งที่มาของเงินของรัฐบาลต่อไป