นักลงทุนต่างชาติแห่ถอนเงินทุนออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คิดเป็นมูลค่า 4.16 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งเป็นเม็ดเงินไหลออกในไตรมาสแรกรวมกันมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
แม้มีการคาดการณ์ว่าประเทศเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับจีนเหมือนกับในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งจะบังคับใช้กับทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกเป็นเป้าหมายของสงครามการค้า
ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและการอ่อนค่าของสกุลเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสาเหตุที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาค
นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติหันเหออกจากตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยข้อมูลจากแอลเอสอีจี ลิปเปอร์ (LSEG Lipper) ระบุว่า กองทุนหุ้นของจีนสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ อันเนื่องมาจากกระแสการตอบรับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของดีปซีค (DeepSeek)
นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า การโยกย้ายเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากหุ้นจีนมีมูลค่าลดลง ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อ
การที่นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจในตลาดหุ้นจีนเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นฮ่องกงเช่นกัน โดยดัชนีฮั่งเส็งพุ่งขึ้น 17% ในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นฮ่องกงกลายเป็นตลาดที่ทำผลงานดีที่สุดในโลก
ในทางตรงกันข้าม ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 15% ในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดหุ้นที่ทำผลงานย่ำแย่ที่สุดในปีนี้
ส่วนดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลงเกือบ 14% ในปีนี้ โดยในวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. ดัชนีร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2564 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังและแผนการใช้จ่ายด้านสังคมมูลค่ามหาศาลของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต