xs
xsm
sm
md
lg

ธนาคารอังกฤษลั่น! เก็บภาษีคริปโต ปลดล็อกหุ้นเพื่อเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารอังกฤษผุดไอเดียชงเก็บภาษีคริปโต แทนภาษีหุ้น "ลิซา กอร์ดอน" บอกคนอังกฤษแห่ถือเหรียญดิจิทัลจนน่ากลัว หวังดึงเงินลงทุนกลับสู่หุ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ

วงการการเงินอังกฤษร้อนระอุ เมื่อ "ลิซา กอร์ดอน" ประธานธนาคารเพื่อการลงทุน Cavendish ออกโรงเตือนว่า การที่คนอังกฤษแห่ซื้อคริปโตกันมากขึ้นนั้น “น่าหวาดกลัว” เธอเสนอไอเดียสุดหักมุม เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรเก็บ “อากรแสตมป์” จากคนซื้อสกุลเงินดิจิทัล พร้อมยกเลิกภาษีซื้อหุ้น เพื่อปลุกเศรษฐกิจให้คึกคัก

กอร์ดอน ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในสถาบันการเงินดังอย่าง JP Morgan Small Cap Growth & Income PLC บอกกับ The Times ว่า “คริปโตมันไม่ช่วยอะไรเศรษฐกิจเลย ที่น่ากลัวคือ คนอายุเกิน 45 ปีกว่าครึ่งถือคริปโต แต่ไม่มีหุ้นสักตัว!” เธอชี้ว่า คริปโตเป็น “สินทรัพย์ที่ไม่ก่อผลผลิต” และอยากเห็นคนอังกฤษหันไปลงทุนในหุ้นมากกว่าซื้อเหรียญดิจิทัล

ชงภาษีคริปโต! ดึงเงินกลับสู่ตลาดหุ้น

“ฉันอยากให้ลดอากรแสตมป์สำหรับหุ้น แล้วเอามาเก็บจากคริปโตแทน” กอร์ดอนย้ำ เธอเชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยดึงเงินออมของคนอังกฤษกลับมาสู่ตลาดหุ้น ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าการปล่อยให้เงินไหลไปกองกับคริปโตที่ผันผวนและไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม

คริปโตร้อนแรงในอังกฤษ คนแห่ถือเหรียญมากกว่า 7 ล้านคน!

ข้อมูลจาก Financial Conduct Authority (FCA) เผยว่า ชาวอังกฤษกว่า 7 ล้านคน หรือ 12% ของผู้ใหญ่ทั้งหมด ถือคริปโตแล้ว! ความตื่นตัวและมูลค่าพอร์ตเฉลี่ยก็โตขึ้นทุกปี

ขณะที่ Bivu Das ผู้จัดการทั่วไปของ Kraken ในสหราชอาณาจักร บอกว่า “อังกฤษกำลังยืนอยู่ปากเหวของการใช้คริปโตแบบกว้างขวาง” หลัง Kraken เพิ่งได้ใบอนุญาต EMI จากหน่วยงานกำกับดูแล

จากดัชนีการใช้คริปโตของ Chainalysis อังกฤษขยับจากอันดับ 14 ในปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 12 ในปี 2567 แม้ FCA จะเข้มงวดกับผู้ให้บริการคริปโตในประเทศก็ตาม

คนอังกฤษไม่กลัวเสี่ยงลุยคริปโต

กอร์ดอนชี้ว่า ชาวอังกฤษ “ไม่หวั่นไหวต่อความเสี่ยง” เพราะหันมาเทใจให้คริปโตกันเยอะ “หลายคนเลือกออมเงินมากกว่าลงทุน ซึ่งมันไม่เหมาะเป็นเงินเกษียณเลย” เธอกังวลว่า พฤติกรรมนี้จะฉุดเศรษฐกิจในระยะยาว

แต่เธอก็ยอมรับว่า เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่เจอปัญหาภาษีศุลกากรและความกลัวเศรษฐกิจถดถอยจากนโยบายทรัมป์ อังกฤษยังดูเป็น “ที่ปลอดภัย” แม้สหรัฐฯ จะเสียหายในตลาดหุ้นไปมหาศาล