องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยรายงานหนี้สินโลก (Global Debt Report) ฉบับล่าสุดซึ่งระบุว่า พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ยังไม่มีการไถ่ถอนทั่วโลกมีมูลค่าสูงกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ผู้กู้ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากและจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน
รายงานของ OECD ซึ่งเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.) ระบุว่า ในช่วงปี 2564-2567 ต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดสู่ระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ขณะที่การชำระหนี้ดอกเบี้ยของรัฐบาลในประเทศสมาชิก OECD อยู่ที่ระดับสูงถึง 3.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าที่รัฐบาลใช้จ่ายในด้านกลาโหม
ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ กำลังปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ต้นทุนการกู้ยืมยังคงสูงกว่าในช่วงก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 มาก ดังนั้นต้นทุนดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไป
OECD ระบุว่า หนี้สินที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ เผชิญกับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยรัฐสภาเยอรมนีได้อนุมัติแผนครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนการผลักดันการใช้จ่ายด้านกลาโหมในยุโรปเป็นวงกว้างมากขึ้นในสัปดาห์นี้
เกือบครึ่งหนึ่งของพันธบัตรรัฐบาลประเทศในกลุ่ม OECD และตลาดเกิดใหม่ และประมาณ 1 ใน 3 ของตราสารหนี้ภาคเอกชนจะครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2570
รายงานของ OECD ระบุว่า ประเทศที่มีรายได้น้อยและความเสี่ยงสูงจะเผชิญกับความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์มากที่สุด โดยกว่าครึ่งหนึ่งของพันธบัตรของประเทศกลุ่มนี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 3 ปีข้างหน้า และกว่า 20% ของพันธบัตรเหล่านั้นจะครบกำหนดไถ่ถอนในปีนี้
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวระบุว่า ต้นทุนการกู้ยืมผ่านพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นจากระดับประมาณ 4% ในปี 2563 สู่ระดับกว่า 6% ในปี 2567 โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงกว่าและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับขยะ (junk) นั้น มีต้นทุนการกู้ยืมผ่านพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 8% ซึ่งประเทศเหล่านั้นประสบกับความยากลำบากในการเข้าถึงเงินทุนภายในประเทศเนื่องจากมีอัตราการออมต่ำ